วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

X-ray compare : Paula Begoun และดิฉัน ใครสามารถทำหน้าที่บอกเล่าความจริงได้อิสระมากกว่ากัน?



ดิฉันชื่นชมคุณ Paula Begoun อย่างมหาศาลนับตั้งแต่ประมาณสิบปีก่อน เมื่อเธอเขียนหนังสือ Don’t go to the cosmetics counter without me เล่มแรก จนกระทั่งเมื่อปีราวๆต้นปี 2010 นี้

เธอเป็นแสงสว่างแห่งการฉายเงาที่ดำมืดในวงการเครื่องสำอางสู่สายตาของดิฉัน ดิฉันจึงปลื้มเธอมากเป็นพิเศษ และไม่เคยปลื้มใครเท่านี้มาก่อน เธอเป็นต้นแบบของดิฉันเสมอมา และในทุกๆบทความที่ดิฉันเขียนโดยนามปากกานี้ ดิฉันมักจะใส่ความรู้สึกของเธอลงไปด้วยเกือบทุกครั้ง 

ความรู้สึกของเธอที่ดิฉันใส่ไปในการเขียน หรือแม้แต่บทความของเธอเองนั้น อาจจะดูแรงเกินไปในสายตาคนอื่นหลายๆคน การที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความหวาดกลัวต่อวงการเครื่องสำอาง มันอาจดูแย่ในสายตาของคนที่รักเครื่องสำอางเป็นชีวิตจิตใจ และท้ายที่สุดคนอ่านจะไม่ได้อะไรเลยจากบทความที่สะท้อนความจริงที่เขียนออกมา

คนอ่านก็จะยังใช้เครื่องสำอางที่ตนชอบต่อไปเรื่อยๆ ราวกับไม่มีอะไรในกอไผ่เกิดขึ้น บทความสะท้อนความจริงที่อ่าน จะเป็นเพียงสายลมเอื่อยๆ ที่กระทบเข้าไปในสมอง แล้วก็เลือนหายไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเช่นนั้นนะคะ ไม่ใช่ดิฉันไม่รู้

คุณอาจคิดว่าการหันมามองด้านที่ดีของวงการต่างหาก เป็นสิ่งที่ต้องทำมากกว่าสิ่งอื่นใด การใช้ครีมกระปุกสุดหรูมันคือทุกนาทีที่ใช้ที่มีแต่ความสุข และหากจะมานั่งมัวแต่จับผิดอะไรต่อมิอะไรในวงการในด้านลบ ก็จะทำให้การรักเครื่องสำอาง หรือดูแลผิวลดน้อยลงไปเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่ควรจะทำมากกว่า

การใช้เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่มีความสุขไม่ใช่หรือ? ดังนั้นหากมองข้ามจุดแย่ๆในวงการไปบ้าง หรือแม้แต่ทำไม่รู้ไม่เห็นไปบ้าง ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะความสุขในการดูแลผิวจากเครื่องสำอางคือสิ่งที่จะต้องให้ความสนใจมากที่สุด มิใช่หรอกหรือ?

การขจัดข้อโต้แย้งดังกล่าว ดิฉันมีมุมมองว่าอย่างนี้ค่ะ หากดิฉันทำในสิ่งข้างต้นที่กล่าวมา ดิฉันคงไม่เสียเวลามากับการเป็นนั่งเป็นสื่ออย่างนี้หรอกค่ะ เสียเวลาซะเปล่าๆ เพราะเป็นอะไรที่คนอื่นเค้าก็ทำกันเยอะแล้ว

ดิฉันอยากทำในสิ่งที่แตกต่าง เพราะหากไม่แตกต่างคงไม่ออกมาจากตัวดิฉัน และคงไม่อยากทำในเมื่อใครๆเค้าก็ทำกันซะทั่ว ดิฉันอยากให้การปรากฎต่อสื่อของดิฉันมีคุณค่าสำหรับคนที่เห็นความจริง และสวนต่อกระแสที่เป็นการเท็จ ดิฉันทำโดยไม่หวังสิ่งใด นี่จึงทำให้ดิฉันไม่ต้องคอยห่วงหน้า พะวงหลัง และหากให้ดิฉันทำในสิ่งข้างต้น ดิฉันเลือกไม่ขอทำดีกว่าค่ะ

ดิฉันกับ Paula Begoun เคยมีเป้าหมายร่วมกัน ก็คือ “การขจัดสิ่งที่แย่ๆในวงการเครื่องสำอางออกไป ให้หมดไปจากวงการ” และจุดเริ่มต้นของการเริ่มปฏิบัติการภารกิจนี้คือ การบอกกล่าวความจริงให้คนทั่วไปได้รับรู้ และเห็นพ้องในเรื่องดังกล่าว

ดิฉันมาคิดๆดู ในฐานะสื่อ เราสามารถทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ ไม่สามารถทำไปเกินกว่านี้ได้ เพราะขนาดทำเท่านี้ ก็ยังจะมีการครหาเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากสื่อหลายๆสื่อมีความน่าเชื่อถือต่างกัน ผู้เสพสื่อก็เลือกที่จะกรองเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะรับรู้

ดังนั้นเพียงเท่านี้ แค่การสื่อสารให้คนทั่วไปรับรู้ ยังต้องมีข้อจำกัดค่ะ ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วยไปซะหมด และวกมาที่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง “การขจัดสิ่งที่แย่ๆในวงการเครื่องสำอางออกไป ให้หมดไปจากวงการ” ยิ่งดูเลือนลางมากๆในความเป็นจริง ซึ่งตอนนี้ดิฉันเชื่อแล้วล่ะค่ะ ว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย

สิ่งสำคัญ การเลือกมองแต่ด้านดี ปิดการมองด้านแย่ๆ ก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปทำกัน ด้านแย่ๆ เพียงแต่รับเข้ามา แล้วก็หายไป สิ้นเดือนก็ไปซื้อกระปุกครีมใหม่ที่กลวงเหมือนเดิม

ประการสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง อยู่ที่สื่อที่สื่อสารไปยังคนรับข่าว การเปิดเผยตัวตนที่ทำให้สาธารณะรับทราบว่าเป็นใคร ทำอะไร เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะอย่าลืมว่าตัวสื่อเองก็เป็นปุถุชนเช่นเดียวกัน มีความรัก หลงอยากได้เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ เหมือนกับคนทั่วๆไป ดังนั้นสื่อเหล่านี้จะต้องคำนึงถึงการตลาดของตัวเองค่ะ ไม่ช้าก็เร็ว

หากการจะให้คนยอมรับ โดยการผันตัวเองมาเป็นกูรูตั้งแต่ต้น เพื่อสร้างฐานนิยมให้กับตัวเอง แล้วนำฐานะนี้มาสร้างธุรกิจรายได้ให้กับตัวเอง เป็นสิ่งที่ไม่ผิดค่ะ ใครๆเขาก็ทำกัน แต่เรื่องเหล่านี้ผู้ติดตามอาจไม่มีใครรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ ดิฉันเพียงแต่สงสารผู้ติดตามเหล่านี้ค่ะ ที่ยังไม่ทราบถึงสภาวะการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคล แล้วก็หลงเชื่อสิ่งที่เรียกว่าเป็นข้อเท็จจริง ที่ทางสื่อนี้มอบให้ ความจริงในการนำเสนอมันได้เปลี่ยนไปแล้วค่ะ

Paula Begoun เธอทำแบบนี้ค่ะ แต่อาจจะบางส่วนนะคะ เธอเปิดแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา แล้วก็ขายภายใต้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาของเธอเองจากการเป็นกูรู แน่นอนค่ะ มีคนเชื่อถือเธอเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นยอดขายจึงพุ่งกระฉูด สร้างรายได้ให้กับเธอมหาศาล ก็ให้เธอนั่งแต่แฉความจริงอยู่อย่างเดียว ไส้ก็แห้งตายสิคะ

หลังๆมา เธอเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก การจะขึ้นบทความใดบทความหนึ่ง เธอมักจะเกริ่นจุดขายของแบรนด์ตัวเองขึ้นก่อน เพื่อให้ผู้อ่านทราบถึงความจริงเป็นที่จะต้องใช้ครีมของเธอจริงๆ 

นี่เป็นหลักจิตวิทยาที่ดีมากค่ะ ผู้อ่านที่เคยจงรักภักดีในความจริงที่เธอเคยเอามาเล่าแต่ก่อน ไม่มีการกรองข้อมูลอะไรเลย คอยแต่จะเชื่ออย่างเดียว อะไรที่เธอพูดมา ก็เชื่อเหมือนกับแต่ก่อนไม่ผิดเพี้ยนความตั้งใจ ทั้งๆที่จุดยืนเธอ ได้เปลี่ยนไปแล้ว เธอล้ำเข้ามายังเชิงพาณิชย์มากขึ้นไปทุกที 

ที่แย่ไปมากกว่านี้ เธอได้ใช้ช่องโหว่ของการแจ้งรายการส่วนผสม มาใช้กับแบรนด์ของเธอค่ะ แต่เรื่องนี้ดิฉันจะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ เหล่านี้ความน่าเชื่อถือของเธอจึงลดลงไปมากทุกที

แต่สำหรับดิฉัน Chompoo_X-ray ดิฉันวางสถานะในการเป็นสื่อที่ใช้นามปากกาในการเขียนบทความ ซึ่งไม่ได้เปิดเผยกับใคร ดังนั้นสภาวะสังคมภายนอกไม่สามารถมากระทบต่อตัวดิฉันได้ และหากดิฉันจะทำธุรกิจอะไร สวนทางจากที่พูดมาขนาดไหน ก็ไม่มีใครมาว่า เพราะดิฉันไม่ได้เปิดเผยตัวตั้งแต่ต้น

ความจริงที่ดิฉันเลือกมานำเสนอ ถึงแม้จะเสี่ยงมากต่อการถูกคุกคาม ก็ไม่อาจมาทำร้ายดิฉันได้ ดิฉันจึงไม่ต้องมาแคร์กับเรื่องนี้ ความจริงของดิฉันที่เปิดเผย ไม่มีอะไรมากระทบกับความจริงเหล่านี้ จึงทำให้ความจริงที่นำเสนอไม่ผิดเพี้ยน หรือละในบางเรื่องที่เป็นความจริง

ดิฉันไม่รับงานอีเว้นต์ใดๆ ในการบ่งบอกว่าสนับสนุนแบรนด์ทางการตลาด ดิฉันไม่มีรายได้ใดๆจากการทำสื่อในฐานนะนี้ ดิฉันไม่ได้หากินจากการออกงานใดๆเพื่อประทังชีวิต ดิฉันจึงไม่ต้องเกรงใจแบรนด์ไหนๆ ในการนำเสนอความจริง

Chompoo_X-ray XD

Chanel กับประวัติที่ด่างพร้อยของ Coco chanel และการสิ้นชื่อเมื่อมาทำแบรนด์เครื่องสำอาง

ประวัติ Chanel

บทความต่อไปนี้ ดิฉันเขียนขึ้นด้วยข้อมูลบนพื้นฐานของความจริง ทั้งนี้ดิฉันไม่อยากให้คุณเชื่อค่ะ แต่ดิฉันจะให้ลองไปพิสูจน์จากการหาข้อมูลภายนอกดูค่ะ ว่าจะตรงกับของดิฉันหรือไม่ ทั้งนี้หากสิ่งที่ดิฉันเขียนมาดังกล่าวกระทบใคร กลุ่มใด หรือทำให้ใคร กลุ่มใดไม่สบายใจ ดิฉันขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ





Coco chanel น้ำหอมชื่อดังที่หลายๆคนรู้จัก ปรากฏว่าเป็นชื่อคนที่ก่อตั้งแบรนด์นี้จริงๆค่ะ ประวัติของเธอโชกโชนมาก (โดยเฉพาะเรื่องผู้ชาย) เธอได้ใช้เสน่ห์ของตัวเองในการไต่เต้าขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต


Coco chanel


ชาแนลเกิดที่เมือง Saumur ประเทศฝรั่งเศส เธอเป็นลูกสาวคนที่สอง จากพี่น้องทั้งห้าคนของ Albert Chanel และ Jeanne Devolle พ่อของเธอ Albert Chanelเป็นเจ้าของอผงลอยในตลาด ส่วนแม่ของเธอทำอาชีพซักรีด ชาแนลเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน

ในปี 1895 เมื่อเธอมีอายุได้ 12 ขวบ แม่ของเธอป่วยตายด้วยวัณโรค ส่วนพ่อของเธอก็หนีออกจากบ้านไปไม่รับผิดชอบ ดังนั้นเธอและพี่น้องทั้งหมดจึงต้องอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่ Aubazine และที่นี่เธอได้เรียนรู้วิธีการเย็บผ้า

เมื่อชาแนลอายุได้ 18 ปี เธอได้ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาคนเดียว และมาทำงานเป็นนักร้องในคลับทั้งสอง ได้แก่ Vichy และ Moulins ที่นี่เธอได้ใช้ชื่อเธอว่า “Coco” ตั้งแต่นั้นมา


ประวัติที่ด่างพร้อยของ Coco chanel

ที่ Moulins เธอได้พบรักครั้งแรก Balsan lavished ซึ่งเขาเป็นทายาทโรงงานทอผ้า มีฐานะร่ำรวย แต่ติดที่เขามีภรรยาแล้ว ด้วยความทะเยอทะยานของเธอ ชาแนลตกลงเป็นภรรยาลับ เนื่องจาก Balsan lavished มีฐานะร่ำรวยมาก เธอจึงมีชีวิตที่สุขสบาย ในระหว่างนี้เธอเริ่มออกแบบหมวก และทำเป็นงานอดิเรก




Chanel และ Balsan lavished


ในปี 1909 ชาแนลพบรักครั้งใหม่กับเพื่อนของสามี คือกัปตัน Arthur Edward (Boy) Capel กัปตัน Capel มีฐานะร่ำรวยมากเช่นกัน และแน่นอนว่าเธอตกลงเป็นภรรยาลับอีกครั้ง กัปตัน Capel ลงทุนสร้างร้านเสื้อผ้าให้กับชาแนล




Coco chanel และ Arthur Edward


ในปี 1910 ชาแนลกลายเป็นช่างตัดเสื้อที่ได้รับใบอนุญาต และเธอได้เปิดห้องเสื้อของเธอที่ 21 rue Cambon กรุงปารีส เป็นครั้งแรก โดยใช้ชื่อของเธอ “Chanel” เป็นชื่อร้าน

ปี 1913 เธอได้ตั้งร้านตัดเสื้อของเธออีกร้านที่ Deauville ที่นี่เธอนำเสนอเสื้อผ้าแนวพักผ่อนลำลองและกีฬา และปีนี้เองเธอผันตัวเองมาเป็นนักดีไซน์เนอร์อย่างเต็มตัว

ปี 1915 เธอนำเสนอเสื้อผ้าแนวหลวมๆ สบาย

ต่อมาชาแนลพบรักครั้งใหม่อีกกับขุนนางอังกฤษ ในปี1918 แต่เป็นที่น่าเสียดายเขาเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์ในปี 1919

ปี 1919 ชาแนลได้จดทะเบียนเป็น couturiere และก่อตั้งร้านขึ้นมาอีกคือ Maison de couture ที่ 31 rue Cambon




ร้าน Chanel ที่ 31 rue Cambon


ด้วยประวัติที่เป็นคนยากจน เมื่อเสียชีวิต และถูกพ่อทิ้ง ชาแนลได้สร้างประวัติเท็จของตัวเองขึ้น และบอกว่าเธออายุน้อยกว่าความเป็นจริง 10 ปี ว่าเธอเกิดเมื่อปี 1893 ซึ่งแท้ที่จริงเธอเกิดตั้งแต่ปี 1883 ดังนั้นเธอจึงบอกว่าเธอถูกพ่อทิ้งไปเมื่อเธออายุได้เพียง 2 ขวบเท่านั้น และหลังจากนั้นเธอและพี่น้องถูกส่งไปเลี้ยงโดยป้าสุดโหดของเธอทั้งสอง

ต่อมาในปี 1920 เธอได้รับการแนะนำให้ร่วมงานกับ Igor Stravinsky ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เธอและ Igor Stravinsky มีข่าวว่ามีความสัมพันธ์กันกระฉ่อนดังไปทั่ว




Igor Stravinsky


ในปี 1925 ชาแนลได้รู้จักและสนิทสนมกับ Vera Bate Lombardi เธอคนนี้เป็นลูกนอกสมรสของขุนนางระดับ Marquess of Cambridge เธอจึงได้แนะนำชาแนลให้รู้จักกับคนในราชวงศ์อังกฤษ โดยเฉพาะลุงของเธอซึ่งเป็นดยุคแห่งเวสต์มินส์เตอร์ และลูกพี่ลูกน้องของเธอ ดยุคแห่งวินด์เซอร์ และแน่นอนว่าชาแนลมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคนระดับสูงเหล่านี้




Chanel และเพื่อนรัก Vera Bate Lombardi


ในปี 1927 ชาแนลได้สร้าง Villa La Pausa ใน Roquebrune ฝรั่งเศส โดยเธอได้รับแรงบันดาลใจจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอเคยอยู่

ในปี 1939 สมัยต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 แฟชั่นไม่ได้รับความนิยมจากกระแสสงคราม เธอจึงปิดร้านทุกอย่างกว่า 30 ปี ช่วงนี้เธอมีข่าวสัมพันธ์กับ Hans Gunther von Dincklage ผู้สืบราชการลับนาซี เธอได้ช่วยกลุ่มนาซีโดยผ่านเพื่อนสนิทเชื้อพระวงศ์ของเธอ Vera Bate Lombardi




Chanel และ Hans Gunther von Dincklage (คนขวา)


ในปี 1945 เธอย้ายไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ และกลับมายังปารีส เพื่อกลับมาสู่โลกแฟชั่น หลังสงครามโลกสงบลงแล้ว ปรากฏว่าผลงานแฟชั่นของเธอคนฝรั่งเศสไม่ยอมรับ เนื่องจากเธอเคยช่วยฝ่ายนาซีไว้ในอดีต หลังจากนั้นธุรกิจด้านแฟชั่นของเธอโด่งดังอีกครั้ง โดยส่วนใหญ่เป็นลุกค้าชาวอังกฤษและอเมริกา



การสิ้นชื่อเมื่อมาทำแบรนด์เครื่องสำอาง

แน่นอนค่ะ แบรนด์ชาแนลเมื่อเป็นเสื้อผ้า และ accessory ต่างๆ ดังและมีคุณภาพสูงมาก มีดีไซน์ที่ดิฉันก็ชื่นชอบ แต่พอเมื่อขยับขยายมาทำเครื่องสำอางปุ๊ป ชาแนลสิ้นชื่อทันทีค่ะ นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งกับการแสดงว่า การมีเงินจะขยับขยายหรือทำอะไรก็ได้ โดยสิ่งที่ทำอาจไม่ด้ใช้สมองคิดเลย



ชาแนลขายความเป็นผู้นำแฟชั่นของตัวเองจากการขายเครื่องสำอาง แน่นอนว่าราคาต้องระดับสูงด้วย ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ หากว่ากระปุกครีมมีรูปลักษณ์ที่ไฮโซ ไม่เอ้าท์ แต่ประสิทธิภาพของครีมก็ไม่ได้ทำให้คุณมีใบหน้าที่อินเทรนด์ขึ้นตรงไหน

หากการทาครีมก่อนออกจากบ้านเป็นสิ่งที่ทำกันในที่สาธารณะก็ดีอยู่หรอกค่ะ คุณสามารถโอ้อวดใครต่อใครก็ได้ ว่าคุณใช้ครีมระดับผู้นำแฟชั่น แต่มันสวนทางกับชีวิตจริงค่ะ ซึ่งก็คงจะมีแต่คนในบ้านคุณเท่านั้นที่รู้ว่าคุณทาครีมอะไร



พนักงานขายชาแนลภูมิใจในตัวเองมาก เมื่อรู้ว่าชาแนลมีจุดเริ่มต้นที่ฝรั่งเศส แต่ทว่าไม่มีเครื่องสำอางชิ้นไหนผลิตในฝรั่งเศสจริงๆเลย ผลิตภัณฑ์หลายๆตัว ธรรมดาอย่างมาก มีแต่น้ำ ตัวทำให้ข้น/ชื่น และก็สารกันเสีย ซึ่งดิฉันรู้สึกสิ้นท่าแทนคนก่อตั้งจริงๆ

ข้อดีของชาแนลมีไม่มากค่ะ บรรจุภัณฑ์ที่สวยเก๋ทันสมัย กันแดดมี avobenzone ที่กันรังสี UVA ซีรั่มมีสารบำรุงผิวในระดับที่น่าประทับใจ คลีนเซอร์และสครับค่อนข้างดีเลยทีเดียวค่ะ ส่วนข้อเสียก็ราคาที่แพงเกินไป บำรุงผิวส่วนใหญ่มีสารบำรุงเพียงฝุ่นธุลี

"จริต" ของ Chanel

จริตของแบรนด์ ดิฉันขอยกไลน์ Ultra Correction มาให้ดูกันสามสี่ตัวนะคะ จากรูปดิฉันเรียงจากซ้ายไปขวา



1. Chanel Ultra Correction Line Repair Anti Wrinkle Eye Cream
Ingredients : Aqua, Cyclopentasiloxane, Glycerin, Butylene Glycol Dicaprylate, Pentylene Glycol, Octyldodecanol, Butylene Glycol, Steareth-21, Silica, Methyl Methacrylate Crosspolymer, Alumina, Cetyl Alcohol, Glyceryl Stearate, Ammonium AcryloylDimethyl, Taurathe, Peg-75 Stearate, Dimethicone, Hidroxyethyl Acrylate/Sodiumacryloyldimethyl Taurate Copolymer, Methylparaben, Propylparaben, Chlorphenesin, Squalane, Ceteth-20, Steareth-20, Phospholipids, Psum Sativum Extract, Escin, Bis Vinyl Dimethicone/Dimethicone Copolymer, Disodium EDTA, Decarboxy Carnosine HCL, Beta-Sitosterol, Polysorbate 60, Citric Acid, Sodium Citrate, PEG_8 Sodium Hyaluronate, Carbomer, Guazuma Ulmifolia Leaf Extract, Potassium Sorbate, Propylene Glycol, Sorbitan Isostearate, Polysorbate 20, Tocopherol, Phenoxyethanol, Tin Oxide, Ascorbyl Palmitate, Sodium Methylparaben, Acetyl Tetrapeptide-5, Citrus Auratium Amara, Butylparaben, Ascorbic Acid, Ethylparaben, Palmitoyl Oligopeptide, Palmitoyl Oligopeptide, Palmitoyl Tetrapeptide-3, CI 77891

2. Chanel Ultra Correction Line Repair Intensive Anti-Wrinkle Concentrate
Ingredients : aqua(water), glycerin, butylene glycol, ppg-2 myristyl ether propionate, alcohol, isohexadecane, alumina, methyl methacrylate crosspolymer, silica, ammanium acryloyldimethytaurate/vo copolymer, parfum(fragrance), vp/dimethiconylacrylte/polyglycol ester, methylparaben, chlarphenesn, pisum sativa (pea) extract, propylene glycol, decarboxy carnosine hcl, citric acid, phenoxyethanol, tetrasodium edta, sodium citrate, bht, sodium hyaluronate, guazuma ulmifalia leaf extract, carbomer, potassium sorbate, polysarbate 20, tin oxide, ethylparaben, sodiummethylparabenpalmitoyl tetrapeptide-3, ci 14700(red 4), ci 77891(titanium dioxide)

3. Chanel Ultra Correction Lift Lifting Firming Day Fluid SPF 15
Active Ingredients : Avobenzone 3%, Octinoxate7.5%

Other Ingredients : aqua (water), glycerin, isododecane, peg/ppg/polybutylene glycol-8/5/3 glycerin, c12-15 alkyl benzoate, pentylene glycol, ppg-12/smdi copolymer, cetearyl alcohol, c20-22 alkyl phosphate, dipropylene glycol, triheptanoin, c20-22 alcohols, coco-glucoside, butylene glycol, vp/dimethiconylacrylate/polycarbamyl/polyglycol ester, oryzanol, octyldodecyl, neopentanoate, parfum (fragrance), hydroxyethyl acrylate/sodium acryloyldimethyl taurate copolymer, ammonium acryloyldimethyltaurate/vp copolymer, squalane, caprylyl glycol, methylparaben, xanthan gum, ammonium glycyrrhizate, sodium carbomer, decarboxy carnosine hcl, disodium edta, propylene glycol, polysorbate 60, canarium luzonicum gum nonvolatiles, pentaerythrityl tetra-di-t-butyl hydroxyhydrocinnamate, sodium hyaluronate, phenoxyethanol, polysorbate 20, sorbitan isostearate, bht, ethylparaben, sodium methylparaben, propylparaben, palmitoyl oligopeptide, palmitoyl tetrapeptide-7, ci 17200 (red 33)

4. Chanel Ultra Correction Lift Ultra Firming Night Cream
Ingredients : water(aqua), glycerin, cetearyl alcohol, butylene glycol, canola oil, jojoba esters, caprylic/capric triglyceride, dimethicone, ethylhexyl palmitate, octyldodecyl myristate, pentylene glycol, steareth-21, butyrospermum parkii (shea butter), hdi/trimethylol hexyllactone crosspolymer, polyglyceryl-3 beeswax,cetearyl glucoside, tocopheryl acetate, octyldodecyl neopentanoate, fragrance(parfum), methylparaben, ammonium acryloyldimethyltaurate/beheneth-25 methacrylate crosspolymer, caprylyl glycol, tamarindus indica seed polysaccharide, xanthan gum, phenoxyethanol, decarboxy carnosine hcl, propylene glycol, sodium carbomer, sodium hyaluronate, tetrasodium edta, canarium luzonicum gum nonvolatiles, silica, nyctanthes arbor-tristis leaf extract, disodium phosphate, polysorbate 20, citric acid, propylparaben, tocopherol, sodium methylparaben, butylparaben, ethylparaben, palmitoyl oligopeptide, palmitoyl tetrapeptide-3, ci 17200

ส่วนผสมธรรมดามาก เรียกได้ว่าเกือบไม่มีสารที่น่าสนใจตัวไหนเลย สารที่ใช้ประโยชน์ได้จริงๆมีน้อยเกินไป เปปไทด์ (cell-signaling substance) ดิฉันว่าอย่าไปหวังประโยชน์อะไรมากนัก นอกนั้นก็เป็นตัวทำให้ข้น/ลื่น น้ำหอม สารกันเสีย และสี

Chompoo_X-ray :D

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Origins กับคอนเซ็พต์ธรรมชาติ ที่ถูกธรรมชาติลงโทษ

ประวัติ Origins

บทความต่อไปนี้ ดิฉันเขียนขึ้นด้วยข้อมูลบนพื้นฐานของความจริง ทั้งนี้ดิฉันไม่อยากให้คุณเชื่อค่ะ แต่ดิฉันจะให้ลองไปพิสูจน์จากการหาข้อมูลภายนอกดูค่ะ ว่าจะตรงกับของดิฉันหรือไม่ ทั้งนี้หากสิ่งที่ดิฉันเขียนมาดังกล่าวกระทบใคร กลุ่มใด หรือทำให้ใคร กลุ่มใดไม่สบายใจ ดิฉันขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ




ออริจิ้นส์ แค่ชื่อไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการตลาดของแบรนด์นี้จะเป็นอย่างไร ทำมาในแง่ไหน แน่นอนค่ะ ออริจิ้นส์ใช้คอนเซ็พต์ธรรมชาติที่ฮิตกันมานานแล้วในวงการเครื่องสำอางออกมานำเสนอ

เอสเต้ ลอเดอร์ จับกระแสธรรมชาติที่ฮิตตลอดกาลมารวมกับเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ ได้มาเป็นออริจิ้นส์เมื่อปี 1990 หรือประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา สถานะความประทับใจของออริจิ้นส์มั่นคงแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการตลาดที่เย้ายวน

ดิฉันได้พูดถึงครอบครัวลอเดอร์ไปเมื่อวานนี้ ดังนั้นจึงไม่ขอพูดอะไรมากแล้วนะคะ

ปัจจุบันออริจิ้นส์มี Jane Lauder ซึ่งเป็นหลาสาวเอสเต้ ลอเดอร์นั่งแท่นเป็น Global President, General Manager ของออริจิ้นส์ ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2010 ที่ผ่านมาไม่นานนี้


Jane Lauder

คอนเซ็พต์ธรรมชาติ ที่ถูกธรรมชาติลงโทษ

ถึงกระนั้นออริจิ้นส์ก็ทำเกินไปจริงๆ โดยเฉพาะในสมัยก่อนที่เริ่มออกตัวใหม่ๆไม่กี่ปี ออริจิ้นส์ถึงกับอ้างความรู้ของชนเผ่าอียิบต์โบราณ โรมันโบราณ หรือชนเผ่ารุ่งเรืองประดามีในสมัยก่อน ในเรื่องของศาสตร์การประทินผิว และแน่นอนค่ะ ออริจิ้นส์ต้องขายสิ่งเหล่านั้นด้วย



อาทิ ออริจิ้นส์ขายน้ำมันและเจลโบราณที่บอกว่าอายุหลายพันปีจากอียิปต์ แน่นอนค่ะน้ำมันและเจลไม่อายุนานขนาดนั้น ก็เป็นเพียงส่วนผสมน้ำมันและตัวทำให้ข้น/ลื่น ที่สั่งเข้ามาจากบริษัทส่วนผสม แล้วก็นำมาผสมๆไม่กี่ชั่วโมงก็เท่านั้น

การนำเรื่องเหล่านี้มาอ้าง ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวค่ะ คนในสมัยก่อน ยิ่งเป็นระยะเวลานาน เป็นพันๆปีใช้ ย่อมต้องน่าสนใจ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ชนเผ่าโบราณใช้ แล้วสิ่งเหล่านี้มันจะดีต่อผิวจริงๆ



หลายๆอย่างที่ออริจิ้นส์นำเสนอ แสดงให้เห็นว่าเป็นธรรมชาติมาก การแจกแผ่นพับ หรือหีบห่อทีทำมาจากกระดาษรีไซเคิ่ล การดีไซน์บรรจุภัณฑ์ที่ใช้สีเขียวเป็นหลัก การออกแบบโลโก้ที่เป็นรูปต้นไม้ใหญ่ การตั้งชื่อแบรนด์ที่แปลว่าต้นกำเนิด จุดกำเนิด ที่ก็ให้ความหมายที่ดีในการนำเสนอแนวธรรมชาติ และราคาในระดับสูงที่เป็นผลต่อจิตวิทยาว่าต้องเป็นสิ่งที่ดี

เหล่านี้ทำให้ออริจิ้นส์ดูดีมากในคอนเซ็พต์นี้ หากจะมีแบรนด์ธรรมชาติอะไรที่คิดถึงล่ะก็ ออริจิ้นส์จะมาเป็นอันดับแรกๆค่ะ คอนเซ็พต์มีคนชอบกันเยอะมาก แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ การที่คิดว่าแบรนด์ที่คอนเซ็พต์เป็นธรรมชาติจะดีต่อผิวพรรณ

เปล่าเลยค่ะ



ดิฉันอดกังวลใจไม่ได้ เมื่อพบว่ารายการส่วนผสมที่อ้างว่าเป็นธรรมติ (สารที่ลงท้ายด้วย extract, plant oils ที่จริงแล้วก็เป็นสารเคมีกันทั้งนั้น) สามารถก่อการระคายเคืองผิวได้หลายรายการ นี่จึงเป็นที่มาที่ว่า สิ่งที่เรียกว่าเป็นธรรมชาติ จะกลับมาทำร้ายผิวคุณได้ มันไม่ได้ดีเสมอไปค่ะ

"จริต" ของ Origins

จริตของแบรนด์นี้ ดิฉันจะเอารายการส่วนผสมมาเปรียบเทียบหลายๆตัวให้ดูค่ะ อย่างที่ทราบกันดี ออริจิ้นส์ ใช้ส่วนผสมที่อ้างว่าเป็นธรรมชาติหลายรายการ ที่สำคัญก่อการระคายเคืองมากไปด้วย นี่เป็นจริตของแบรนด์นี้ที่ทำมาโดยตลอด มันแย่มากๆเลยค่ะ

ดิฉันจะเรียงจากซ้ายไปขวานะคะ ไปดูกันได้เลยค่ะ



1. Dr. Andrew Weil for Origins Mega-Mushroom Skin Relief Advanced Face Serum
Ingredients : Water, Simmondsia chinensis (jojoba) seed oil, glycerin, yeast extract, Olea europaea (olive) fruit oil, caprylic/capric/myristic/stearic triglyceride, Limnanthes alba (meadowfoam) seed oil, hydrogenated lecithin, Hypsizygus ulmarius mycelium extract, Citrus aurantium dulcis (orange) oil, Lavandula angustifolia (lavender) oil, Pogostemon cablin (patchouli) oil, Citrus nobilis (Mandarin orange) oil, Pelargonium graveolens (geranium) flower oil, Boswellia carterii (olibanum) oil,geraniol, linalool, citronellol, limonene, Pleurotus ostreatus (mushroom) extract, Ganoderma lucidum (reishi mushroom) extract, Inonotus obliquus (mushroom) extract, Ocimum sanctum leaf extract, Zingiber officinale (ginger) root extract, Curcuma longa (turmeric) root extract, Cordyceps sinensis extract, Mangifera indica (mango) leaf extract, Oenothera biennis (evening primrose) oil, Helianthus anuus (sunflower) seed oil, Citrus grandis (grapefruit) peel extract, Rosmarinus officianalis (rosemary) leaf extract, Olea europaea (olive) fruit extract, Hippophae rhamnoides extract, Selaginella tamariscina (spike moss) extract, Triticum vulgare (wheat bran) extract, Silybum marianum fruit extract, Butyspermum parkii (shea butter), Mangifera indica (mango) seed butter, cholesterol, linoleic acid, dimethicone, sodium hyaluronate, butylene glycol, Zea mays (corn) oil, tocotrienols, cellulose, xanthan gum, silica, magnesium aluminum silicate, calcium carbonate, sorbic acid, chlorphenesin, phenoxyethanol

2. Dr. Andrew Weil for Origins Night Health™ Bedtime Face Cream
Ingredients : wateraquaeau, caprylic/capric triglyceride, myristyl myristate, dicaprylyl maleate, stearic acid, peg-100 stearate, cetyl alcohol, behenyl alcohol, bis-diglyceryl polyacyladipate-2, etearyl alcohol, butylene glycol, anthemis nobilis (chamomile) flower oilcitrus nobilis (mandarin orange) peel oil, lavandula angustifolia (lavender) oilprunus amygdalus dulcis (sweet almond) oil,linalool, imonene, geraniol, olea europaea (olive) fruit extract, olea europaea (olive) leaf extract ,yeast extractfaexextrait de levure, castanea sativa (chestnut) seed extract, menyanthes trifoliata (buckbean) leaf extract, calluna vulgaris (heather) extract,astrocaryum murumuru seed butter, sigesbeckia orientalis (st. paul's wort) extract, triticum vulgare (wheat bran) extract, helianthus annuus (sunflower) seed extract,ascophyllum nodosum extract,asparagopsis armata extract, silybum marianum (lady's thistle) extract ,cladosiphon okamuranus extract, glycine soja (soybean) sterols,hydrolyzed soy protein, pantethine, micrococcus lysate, hydrolyzed wheat protein, hydrolyzed corn protein, dimethicone, ethylhexylglycerin, cholesterol, ceteareth-20, polysorbate 20, glyceryl stearate,tocopheryl acetate, trehalose, glycerin, sodium hyaluronate ,linoleic acid, sorbitol, adenosine phosphate, magnesium ascorbyl phosphate, xanthan gum, dextrin,lecithin, potassium carbomer, carbomer, sorbic acid, chlorphenesin, phenoxyethanol

3. Origins Brighter By Nature™ Anti stress moisture lotion with SPF25/PA++
Active Ingredients : Titanium Dioxide 8.819%, Zinc Oxide 3.527%
Other Ingredients : water, anthemis nobilis (chamomile)flower water, trioctyldodecyl citrate, butylene glycol, dimethicone, steareth-2, silica, ascorbyl glucoside, tricaprylin, aluminum stearate, peg-100 stearate, yeast extractfaexextrait de levure, octyldodecyl neopentanoate, citrus aurantifolia (lime)oil, citrus grandis (grapefruit) peel oil, cymbopogon schoenanthus (lemongrass) oil, mentha viridis (spearmint) leaf oil, salvia sclarea (clary sage) oilormenis multicaulis (chamomile) oil,pelargonium graveolens (geranium) flower oil, lavandula angustifolia (lavender) oil, thymus vulgaris (thyme) oil, coriandrum sativum (coriander) fruit oilcitral, geraniol, linalool, citronellol, limonene, scutellaria baicalensis root extract, pyrus malus (apple)fruit extract, rosmarinus officinalis (rosemary) leaf extract, gentiana lutea (gentian)root extract, dipotassium glycyrrhizate, hordeum vulgare (barley)extractextrait d'orge, cucumis sativus (cucumber) fruit extract, sanguisorba officinalis (burnet) root extract, paeonia albiflora (peony) root extract, perilla ocymoides leaf extract, hydrolyzed rice bran extract, helianthus annuus (sunflower) seedcake, anthemis nobilis (chamomile), lecithin, barium sulfate, sorbitan tristearate, caffeine, stearoxy dimethicone, tromethamine, tocopheryl acetate, magnesium aluminum silicate, propylene glycol dicaprate, salicylic acid, peg/ppg-18/18 dimethicone, caprylyl glycol, polyglyceryl-6 polyricinoleate, arginine, phospholipides, sodium stearate, hexylene glycol, bisabolol, isopropyl titanium triisostearate, stearic acid, xanthan gum, phosphoric acid, disodium edta, phenoxyethanol, potassium sorbate

4. Origins Brighter by Nature™ High potency brightening peel with fruit acids
Ingredients : Water / Aqua / Eau, Anthemis Nobilis (Chamomile) Flower WaterAlcohol Denat., Butylene Glycol, Citrus Aurantifolia (Lime) Oil, Citrus Grandis (Grapefruit) Peel Oil, Cymbopogon Schoenanthus (Lemongrass) Oil, Mentha Viridis (Spearmint) Leaf Oil, Salvia Sclarea (Clary Sage) Oil,Ormenis Multicaulis (Chamomile) OilPelargonium Graveolens (Geranium) Flower Oil, Lavandula Angustifolia (Lavender) Oil, Thymus Vulgaris (Thyme) Oil, Coriandrum Sativum (Coriander) Fruit Oil,Citral, Geraniol, Linalool, Citronellol, Limonene, Lycium Chinense (Goji Berry) Fruit Extract, Vaccinum Angustifolium (Blueberry) Fruit Extract, Vaccinum Macrocarpon (Cranberry) Fruit Extract, Pyrus Malus Apple) Fruit Extract, Punica Granatum (Pomegranate) Juice Extract, Vitis Vinifera (Grape) Seed Extract, Scutellaria Baicalensis Root Extract, Cucumis Sativus (Cucumber) Fruit Extract, Paeonia Albiflora (Peony) Root Extract, Sodium Mannose Phosphate, Salix Alba (Willow) Bark Extract, Salicylic Acid, Perilla Ocymoides Leaf Extract, Aloe Barbadensis Leaf Juice, Caffeine, Polygonum Cuspidatum Root Extract, Oryza Sativa (Rice) Bran Extract, Hydroxycapric Acid, Hamamelis Virginiana (Witch Hazel), Yeast Extract /Faex / Extrait de Levure, PEG-40 Hydrogenated Castor Oil, Trideceth-9, Hydroxycaprylic Acid, Aminopropyl Ascorbyl Phosphate, Ascorbyl Tocopheryl Maleate, Maltodextrin, Xanthan Gum, Nordihydroguaiaretic Acid, Tartaric Acid, Sodium Citrate, Disodium EDTA, Phenoxyethanol

ทั้ง 4 ตัวที่ดิฉัยนกตัวอย่างมานี้ ตัวสีแดง น่าเป็นกังวลมากที่สุดค่ะ ดิฉันบอกไปแล้วนะคะว่าส่วนผสม (ที่อ้างว่า) ธรรมชาติ หรือแม้สมุนไพร ก่อการระคายเคืองผิวได้ทั้งนั้น ทั้ง ตระไคร้ ยูคาลิปตัส ส้มซีตรัส ดอกเจอราเนียม ไทม์ ลาเวนเดอร์ เกรฟฟรุ้ต สะระแหน่ ผักชี เปปเปอร์มิ้นท์ ก่อการระคายเคืองผิวคุณได้ทั้งนั้นเลยค่ะ คือมันมีรายงานการวิจัยออกมาค่ะ

ไหนจะส่วนผสมน้ำหอมที่ตามมาเป็นกระพรวนอีก ที่สำคัญส่วนผสมน้ำหอมอยู่ตอนกลางของรายการส่วนผสมอันยาวเหยียด ดังนั้นส่วนผสมหลังจากน้ำหอมลงไปมีปริมาณน้อยมากๆค่ะ

ไม่ฉลาดเลยที่คุณจะซื้อ ส่นผสมที่ปลอดภัยและที่สำคัญในราคาถูกกว่านี้มีเยอะแยะค่ะ

Chompoo_X-ray :D

Estée Lauder กับประวัติศาสตร์ความมุมานะที่น่ายกย่อง และการมีส่วนแต่งเติมความแย่ในวงการเครื่องสำอาง

ประวัติ Estée Lauder

บทความต่อไปนี้ ดิฉันเขียนขึ้นด้วยข้อมูลบนพื้นฐานของความจริง ทั้งนี้คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อค่ะ แต่ดิฉันจะให้ลองไปพิสูจน์จากการหาข้อมูลภายนอกดูค่ะ ว่าจะตรงกับของดิฉันหรือไม่ ทั้งนี้หากสิ่งที่ดิฉันเขียนมาดังกล่าวกระทบใคร กลุ่มใด หรือทำให้ใคร กลุ่มใดไม่สบายใจ ดิฉันขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ




นับว่าเป็นบทความแรกที่ดิฉันจะไม่เขียนวิจารณ์มากเท่าไหร่ เพราะดิฉันประทับใจในความมุ่งมั่นจากการสร้างธุรกิจอันยิ่งใหญ่จากสิ่งเริ่มต้นที่เป็นศูนย์

หากจะเทียบกันในเหล่าผู้จัดการบริษัทมือฉมังของธุรกิจครอบครัวแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นลูก หลาน เหลน หรืออะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวข้องกับเอสเต้ ลอเดอร์ ทั้ง Leonard Lauder (ลูกชายคนโต), Ronald Lauder (ลูกชายคนเล็ก), Jane Lauder (หลานสาว) , Aerin Lauder (หลานชาย), Evelyn H Lauder (ภรรยาของ Leonard) เป็นต้น พวกเขาเหล่านี้ต่อให้เก่ง โปรขนาดไหน ดิฉันก็ยังไม่ประทับใจเท่ากับเอสเต้ ลอเดอร์ถึงเพียงนี้


ภาพครอบครัวของลอเดอร์ จากซ้ายไปขวาคือ Joe Lauder, Evelyn Lauder, Estee และ Leonard Lauder และลูกชายทั้งสอง


ก็ถ้าคุณโตมาท่ามกลางกองเงินกองทอง มีธุรกิจใหญ่ยักษ์อยู่กับตัวแล้วล่ะก็ จะพยายามสัก 1 ใน 100 ก็สำเร็จได้กันทั้งนั้นแหละค่ะ เพราะการเติบโตของธุรกิจในปัจจุบันความสามารถเป็นปัจจัยรอง แต่เงินต่างหากล่ะคะ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จจริงๆ

ดังนั้นเหล่าลูกหลานของลอเดอร์เหล่านี้ ดิฉันไม่ประทับใจสักคนค่ะ แต่ดิฉันประทับใจในคนที่เริ่มก่อตั้งบริษัทที่เป็นที่ทำกินให้กับลูกหลานเหล่านี้ต่างหาก นั่นก็คือตัวของลอเดอร์เองค่ะ เพราะเธอเป็นคนที่เริ่มก่อตั้งธุรกิจจากสิ่งที่ไม่มีอะไรมาก่อนจริงๆ นั่นคือเธอต้องใช้ความสามารถหลายๆด้านมากๆ ที่ไม่ใช่ดีแต่การใช้เงินเพียงอย่างเดียว


ประวัติศาสตร์ความมุมานะที่น่ายกย่อง

ลอเดอร์ เธอเกิดมาในครอบครัวที่พ่อกับแม่อพยพมาจากฮังการี พ่อละแม่ของเธอชื่อ Max และ Rose Schotz Mentzer แถมยังมีลูกอีกตั้ง 9 คน และเธอเป็นน้องคนสุดท้อง ครอบครัวเธอเป็นคริสต์นิกายคาธอลิก ดิฉันเข้าใจว่า เพราะครอบครัวของเธออพยพมาในช่วงที่เธอเกิด ดังนั้นเธอเกิดจริงๆเมื่อปี 1906 แต่ทางครอบครัวแจ้งช้าไปราวๆ 2 ปี เธอจึงมีประวัติข้อมูลในฐานระเบียนว่าเกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1908


Estée Lauder


ลอเดอร์ มีชื่อดั้งเดิมคือ Josephine Esther Mentzer ตามชื่อฮังการี ในสมัยเด็กๆ พี่น้อง และคนในหมู่บ้านจะเรียกชื่อเล่นของเธอว่าเอสตี้ (Esty) เมื่อเธอเริ่มเข้ามาเรียนหนังสือทางระเบียนโรงเรียนได้สะกดชื่อของเธอผิด โดยสะกดผิดว่าเอสเต้ (Estee) นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ เอสเต้ ลอเดอร์ค่ะ

สมัยเด็กลอเดอร์มีจุดเด่นที่ผิวสวยมากกว่าใคร และด้วยรูปหน้าที่สะสวย เธอจึงเลื่องลือมากในเรื่องนี้สมัยเด็กๆ อุปนิสัยรักสวยรักงามเป็นสิ่งที่เธอมีมากกับตัวตั้งแต่ยังเด็ก นิสัยนี้เธอได้มาจากคุณแม่ ที่ชอบบำรุงและดูแลผิว เป็นคนประณีตละเอียดอ่อน และยังได้อุปนิสัยทางการตลาดมาจากคุณพ่อของเธอ เนื่องจากคุณพ่อของเธอทำธุรกิจขายเมล็ดพืชในสมัยที่อยู่ฮังการี และมาทำธุรกิจทางด้านฮาร์ดแวร์ เมื่ออพยพมาอยู่ที่นิวยอร์ก ที่นี่ เธอและครอบครัวอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นต์เล็กๆที่ควีนส์ นิวยอร์ก

เมื่อลอเดอร์อายุได้ประมาณ 20 ปี จุดเริ่มต้นแห่งธุรกิจความงามได้เริ่มฉายแววมากขึ้น ลุงของเธอชื่อ ดอกเตอร์ Schotz (ข้อมูลบางแห่งบอกว่า เป็นน้าชื่อ John) คนนี้แกเป็นนักวิทยาศาสตร์เคมี และเป็นเจ้าของโรงงาน New Way Laboratories ที่ก่อตั้งในปี 1924 เธอตกลงมาช่วยลุงของเธอในการผลิตเครื่องสำอาง และช่วยขาย


Estée Lauder กับการคิดสูตรเครื่องสำอาง


เธอเริ่มทำเครื่องสำอางแบบผสมกับมือ และนำน้ำมันจากพืชมาสกัดเองโดยใช้เตาแก๊ส หลังจากที่พยายามมานาน เธอก็ได้สูตรครีมของเธอเพื่ออกขาย เธอเริ่มจากการนำไปขายในตลาดด้วยตัวเอง แม้กระทั่งโฆษณาขายครีมที่ร้านตัดผมระหว่างที่ลูกค้าอบไอน้ำ เครื่องสำอางของเธอเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น จากประสิทธิภาพที่ดีกว่าใครๆ ชื่อเสียงเธอจึงเลื่องลือขึ้นมา

ปี 1930 เมื่อเธออายุ 22 ปี เธอตัดสินใจแต่งงานกับ Joseph (Joe) Lauder และเธอก็ได้เปลี่ยนนามสกุลตามสามี ในปี 1933 เธอได้ให้กำเนิดลูกชายคนแรกชื่อว่า Leonard Allen Lauder ต่อมาเธอและสามีหย่าร้างกัน 9 ปีต่อมาหรือเมื่อปี 1939 เธอเล่าว่า เพราะการแต่งงานในอายุที่เด็กเกินไป แต่หลังจากนั้น และกลับมาแต่งงานกันใหม่ 3 ปีต่อมาเมื่อปี 1942 หลังจากนั้นอีก 2 ปีต่อมา เธอได้ให้กำเนิดลูกชายคนที่สอง Ronald Lauder


Estée Lauder กับสามี Joe Lauder


เธอและสามีตัดสินใจสร้างธุรกิจความงามอย่างจริงจัง ตามความชอบของเธอ โรงงานลอเดอร์จึงได้ตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1946 จากการแปลงสภาพร้านอาหารเก่าๆ โดยลอเดอร์ทำหน้าที่ในการคิดสูตร ผลิตเครื่องสำอาง และดุแลทางด้านการตลาด ส่วนสามีเธอดูแลเรื่องการเงิน เธอยังให้ลูกของเธอ Leonard มาศึกษาธุรกิจตั้งแต่ยังเล็กๆ Leonard จึงคุ้ยเคยธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย

ปีต่อมา Saks 5th Avenue ร้านบูติกชั้นนำ ร้านซาลอนที่โด่งดัง และ Florence Morris ได้ให้สิทธ์ในการนำผลิตภัณฑ์ของโรงงานลอเดอร์มาวางขายครั้งแรก งานโฆษณาชิ้นแรกได้รับการว่าจ้างโดยนักถ่ายภาพชื่อดัง Victor Skrebneski โดยเป็นการถ่ายโฆษณาเกี่ยวกับเมคอัพของแบรนด์ เพียงสองวันเท่านั้นที่ Saks 5th Avenue สินค้าได้ถูกขายจนหมดเกลี้ยง สร้างความดีใจให้กับลอเดอร์และสามีมาก

บริษัทของลอเดอร์ ภายใต้ชื่อ Estee Lauder Companies Inc.ประสบความสำเร็จมาก และในปี 1960 ลอเดอร์ได้ขยายสาขาไปนอกอเมริกาเป็นสาขาแรก โดยอยู่ที่ Harrod ในลอนดอน และปี 1964 ลอเดอร์ก็ได้ขยายสาขาไปกว้างไกลมากขึ้นทั่วโลก


ความยิ่งใหญ่และน่ากลัวของลอเดอร์ยังไม่จบเท่านี้ สิ่งที่ทำให้ลอเดอร์ดูน่ากลัวกว่าแบรนด์คู่แข่งดังๆเป็นไหนๆ คือการที่ลอเดอร์เป็นเจ้าของแบรนด์คู่แข่งดังๆเหล่านั้นเอง แบรนด์ดังๆเหล่านี้ ได้แก่ Clinique, Origins, la mer, Prescriptive, Lab series, M.A.C, Bobbi brown, Aramis และแบรนด์ดังอื่นๆอีกมากมาย ทีดิฉันยังคิดไม่ออก



ประสบการณ์ความมุ่งมั่นทุ่มเทของเจ๊ลอเดอร์ เป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันประทับใจเป็นอย่างมาก ความลำบากของครอบครัวเธอเป็นสิ่งผลักดันให้ความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ในเครือลอเดอร์เกิดมาจนทุกวันนี้ จากการเร่ขายครีมแบบ door to door ทำให้เธอเก่งเรื่องการตลาด และความชอบของผู้บริโภค จากการมีลุงที่เป็นนักเคมีทำให้เธอเก่งในการใช้ส่วนผสม จากการทำงานกับลุงของเธอทำให้เธอเห็นภาพรวมในกระบวนการผลิตครีมจริงๆที่มากไปกว่ารายการส่วนผสมที่แปะมาข้างกล่อง จากการมีสามีที่คอยช่วยเหลือ และจากการมีลูกชายที่เก่งกาจเพราะคลุกคลีกับธุรกิจตั้งแต่เด็ก เหล่านี้หล่อหลอมรวมกันที่เชื่อได้ว่า ถ้าไม่ใช่เธอ ก็ไม่อาจมีใครมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ลอเดอร์ยิ่งใหญ่ในวงการเครื่องสำอางโลก

เอสเต้ ลอเดอร์ เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2004 ในบ้านส่วนตัวของเธอที่แมนฮัตตัน เธอเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ด้วยอายุถึง 97 ปี


การมีส่วนแต่งเติมความแย่ในวงการเครื่องสำอาง

มาวันนี้ Estee Lauder Companies Inc. ยังถูกบริหารด้วยเหล่าลูกหลานของเธอ และนับวันจะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เพราะการโฆษณาที่เย้ายวนใจมากขึ้น ที่ดิฉันเกริ่นไว้ก่อนว่า “การเข้ามามีส่วนแต่งเติมความแย่ในวงการเครื่องสำอาง” นั้นก็ไม่ผิดหรอกค่ะ ไม่ว่าแบรนด์ไหนๆก็ทำ เพียงแต่แบรนด์ในเครือนี้ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นการสร้างกระแสอะไรขึ้นมาจึงสั่นสะเทือนไปทั้งวงการ การโฆษณาที่เกินจริง และการที่ประสิทธิภาพครีมมีไม่มากดังโฆษณาล้วนแล้วแต่เป็นความแย่ในวงการเครื่องสำอางทั้งนั้น

"จริต" ของ Estée Lauder

ว่าจะไม่เขียนจริต แต่ก็นึกออกจนได้ค่ะ ลอเดอร์มีตัวที่ฮิตมากๆตัวหนึ่ง ที่ไม่มีริวิวไม่ได้ และแสดงถึงจริตของแบรนด์ได้อย่างดีทีเดียว เพราะตัวนี้เป็นตัวโปรโมท Estée Lauder Advanced Night Repair Synchronized Recovery Complex ตัวนี้แหละค่ะ คือจริงๆแล้วเนี่ย หากเป็นตัวบำรุงจากลอเดอร์นี้จะส่วนผสมค่อนข้างดี ถึงดีมากเลยนะคะ แต่ตัวนี้ดิฉันกลับเสียใจจริงๆ ด้วยความที่เป็นตัวโปรโมท ลอเดอร์น่าจะประโคมส่วนผสมดีๆให้กับตัวนี้มากๆหน่อย เหมือนกับตัวบำรุงตัวอื่นๆบ้าง


Estée Lauder Advanced Night Repair Synchronized Recovery Complex
Ingredients : Water, Bifida Ferment Lysate, Methylgluceth-20, Peg-75, Butylene Glycol, Bis-Peg-18 Methyl Ether Dimethyl Silane, Arabidopsis Thaliana Extract, Tripeptide-32, Ethylhexyl Methoxycinnamate, Lactobacillus Ferment, Cola Acuminata Extract, Retinyl Palmitate, Pantethine, Caffeine, Glycereth-26, Sodium RNA, Squalane, Oleth-3 Phosphate, Oleth-3, Oleth-5, Bisabolol, Choleth-24, Ceteth-24, Hydrogenated Lecithin, Anthemis Nobilis, Sodium Hyaluronate, Tocopheryl Acetate, Lecithin, Xanthan Gum, Tea-Carbomer, Trisodium Edta, BHT, Phenoxyethanol, Methylparaben, Benzyl Alcohol, Green 5, Yellow 5, Red 4

รายการส่วนผสมนับว่าอลังการ (ยาวๆ) น้อยกว่าบำรุงตัวอื่นมาก แต่ก็ยังนับว่ามีสารบำรุงที่ช่วยผิวได้อยู่หลายตัวเชียวค่ะ แต่หากนำราคามาประเมินด้วย คงแย่ เพราะราคาแพงเอาการเหมือนกัน ไปซื้อส่วนผสมดีๆ ในราคาที่ถูกกว่านี้ได้เยอะค่ะ

Chompoo_X-ray :D

la prairie กับความลับคลินิกรกแกะที่ต้องปิด

ประวัติ la prairie

บทความต่อไปนี้ ดิฉันเขียนขึ้นด้วยข้อมูลบนพื้นฐานของความจริง ทั้งนี้คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อค่ะ แต่ดิฉันจะให้ลองไปพิสูจน์จากการหาข้อมูลภายนอกดูค่ะ ทั้งนี้หากสิ่งที่ดิฉันเขียนมาดังกล่าวกระทบใคร กลุ่มใด หรือทำให้ใคร กลุ่มใดไม่สบายใจ ดิฉันขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ




พักนี้ดิฉันวิจารณ์เรื่องแบรนด์ที่ขึ้นต้นด้วย "la" สองแบรนด์มาแล้ว ดิฉันเห็นด้วยกับคำที่พ้องไทยนะคะ นั่นหมายความว่า แบรนด์ที่ฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างนี้ควรที่จะ "ลาโลก" ไปค่ะ

ลาแพรรี แปลว่า ทุ่งหญ้าค่ะ ลาแพรรีเป็นแบรนด์เครื่องสำอางจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศนี้อยู่ในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นประเทศที่มีภาพพจน์ดีมากค่ะ อากาศดี บรรยากาศที่สวยงาม และหลายๆอย่างที่บ่งบอกความมีระดับ แน่นอนค่ะ เมื่อนำหลักการค่านิยมความผู้ดีจากฝั่งยุโรปมาประโคมแบรนด์ หรือแม้แต่เอาชื่อมาติดที่กระปุกด้วย ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้น่าจับตามอง น่าหลงใหล


ความลับคลินิกรกแกะที่ต้องปิด



สิ่งที่ทางแบรนด์ชอบอ้างถึงบ่อยๆก็หนีไม่พ้น การโอ้อวดคลินิกต้นตำรับของตัวเองที่สวิตเซอร์แลนด์ ลาแพรรีมีคลินิกที่ว่าจริงค่ะ ชื่อตรงตัวเลยคือ Clinique la Prairie เรื่องสนุกจึงเริ่มบังเกิดขึ้นค่ะ


Clinique la Prairie


Clinique la Prairie เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 1931 ที่ Montreux สวิตเซอร์แลนด์ โดยภายใต้การดูแลคลินิกโดยดอกเตอร์ Paul Niehans ศัลยแพทย์ผู้เชียวชาญด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ ดอกเตอร์คนนี้แกริเริ่ม “a pioneer in cellular therapy” โดยทำการฉีกสารสกัดจากรกแกะ ส่วนที่เป็นเซลล์ตับของลูกแกะในครรภ์แม่แกะ (fetal sheep liver cells) ให้กับลูกค้าไฮโซ ไฮซ้อที่มารับการฉีด ทางคลินิกอ้างว่า เพราะคลินิกตนดังมาก เลยเกิดคลินิกเถื่อนกันเกลื่อนทั่วสวิตเซอร์แลนด์และแถบใกล้เคียง


ศัลยแพทย์ Paul Niehans


ในปี 1953 ดอกเตอร์ Paul Niehans โด่งดังมากจากการมารับบริการของสมเด็จพระสันตะปาปา Pius ที่ 12 (Pope Pius XII) คลีนิคยังอ้างว่า แม้แต่ระดับประธานาธีบดี และดาราฮอลีวูดมาทำกันอย่างคับคั่ง จนปัจจุบันกว่า 75 ปี คลินิกอ้างว่ามีคนไข้มารับการฉีดสารสกัดรกแกะมากถึงแสนคนเลยทีเดียว


สมเด็จพระสันตะปาปา Pius ที่ 12


แม้ว่าจะมีการเคลมรกแกะระดับเทพ แต่ก็ไม่มีรายงานการวิจัยใดที่มาสนับสนุนว่ารกแกะจะทำอะไรได้ โดยเฉพาะการลดรอยเหี่ยวย่น และประเด็นที่สำคัญว่าทำไมการที่คลินิกที่โม้ว่าของตนดีเลิศกว่าที่แห่งไหน สถาบันใด จึงไม่มีการขยายสาขามาเปิดที่ต่างประเทศบ้าง ทำไมถึงยังลับแลถึงสวิตเซอร์แลนด์ที่เดียว

ดิฉันตอบแทนให้เลยค่ะ อย่างอเมริกาที่ไปไม่ได้ เพราะองค์การอาหารและยาอเมริกา หรือ Food and Drug Administration (FDA) มีมาตรฐานในการตรวจตราที่เข้มมาก การหลบเลี่ยงสายตาองค์การขึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ไม่เหมือนกับในสวิตเซอร์แลนด์ที่ทำกันอยู่

ต่อมาทางแบรนด์ได้ถูก CEO แบรนด์บอร์กีส (Borghese) คือ Georgette Mosbacher ซื้อไปในปี 1987 ต่อมาเธอคนนี้ได้ขายต่อให้กับทาง Beiersdorf ไปในปี 1991


Georgette Mosbacher


ลาแพรรีน่าชื่นชมที่มีกันแดดที่กันรังสี UVA ได้ ซีรั่มส่วนใหญ่มีส่วนผสมที่ดีมาก มีสารที่ดีๆหลายตัว มาสก์ก็ส่วนผสมยอดเยี่ยม ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่ใช้ AHA ก็ทำออกมาได้ดี

ต่อไปนี้คือข้อเสียค่ะ ตั้งแต่ราคาที่แพงมาก บรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นแบบกระปุก ส่วนผสมในครีมเกือบทั้งหมดมีส่วนผสมที่ระคายเคืองผิวอยู่ด้วย


"จริต" ของ la prairie

จริตของแบรนด์ ดิฉันจะยกตัวอย่าง la prairie White Caviar Illuminating Serum เนื่องจากตัวนี้ออกมาล่าสุดพร้อมๆกับตัว la Prairie White Caviar Illuminating Eye Serum ที่ packaging เหมือนกันยังกะแกะ และส่วนผสมที่ก็เหมือนกันยังกะแกะด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องซื้ออายซีรั่มแยกกันกับครีมอีกต่างหากค่ะ หรือหากคุณจะฉลาดไปกว่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อแบรนด์นี้อีกเลย ส่วนผสมในระดับนี้สามารถหาซื้อแบรนด์ที่ราคาถูกกว่านี้เยอะ



la prairie White Caviar Illuminating Serum
Ingredients : Water (aqua), glycerin, SD alcohol 40-B (alcohol denat.), cyclopentasiloxane, dimethicone, butylene glycol, ascorbyl glucoside, biosaccharide gum-1,HDI/trimethylol hexyllactone crosspolymer, glycoproteins, panax ginseng root extractequisetum arvense (horsetail) extract, oligopeptide-34, soluble collagen, folic acid, caviar extract, chitosan, octadecenedioic acid,glycyrrhiza glabra (licorice) root extractlysine HCL, acetyl octapeptide-3, lepidium sativum sprout extract, aminomethyl propanol, serine, polygonum cuspidatum root extract, sodium chondroitin sulfate, threonine, sodium lactate, hibiscus abelmoschus seed extract, arginine, histidine, glycine, tryptophan, glycine soja (soybean) sterols, calcium pantothenate, carnosine, sodium hyaluronate, larix sibirica wood extract, sodium citrate, inulin lauryl carbamate, solanum lycopersicum (tomato) fruit extract, C13-14 isoparaffin, vegetable (olus) oil, silica, camellia sinensis leaf extract, polysilicone-11, sodium stearoyl lactylate, ammonium acryloyldimethyltaurate/beheneth-25 methacrylate crosspolymer, polyacrylamide, tocopherol acetate, poloxamer 188, leontopodium alpinum flower/leaf extract, squalane, laureth-7, octyldodecanol, lecithin, cholesteryl stearate, dextran,nelumbo nucifera flower extract, sodium polyacrylate, cetyl alcohol, propylene glycol, cholesteryl nonanoate, calcium aluminum borosilicate, alcohol, xanthan gum, decyl glucoside, cholesteryl oleate, sodium carboxymethyl beta-glucan, disodium EDTA, hydrogenated lecithin, sodium chloride, caprylyl glycol, glucose, glycine soja (soybean) oil, sodium oleate, magnesium sulfate, hexylene glycol, tin oxide, polysorbate 80, hydroxyproline, calcium chloride, potassium chloride, octanoyl tetrapeptide, fragrance (parfum), linalool, citronellol, geraniol, phenoxyethanol, methylparaben, butylparaben, ethylparaben, isopropylparaben, propylparaben, isobutylparaben, titanium dioxide (CI 77891)

ถึงแม้ว่าจะมีสารที่น่าสนใจ มากอยู่ใช่น้อย แต่สารที่ก่อการระคายเคืองได้มีในรายต้นๆของรายการส่วนผสม นั่นหมายความว่า ส่วนผสมที่ก่อการระคายเคืองได้เหล่านี้ ย่อมมีปริมาณมากกว่าสารที่น่าสนใจตัวอื่นๆค่ะ

ถึงแม้ว่าปริมาณแอลกอฮอล์ที่ใส่ จะไม่ได้มากพอที่จะก่อการระคายเคืองอย่างจริงจังได้ แต่ลาแพรรีสามารถเลี่ยงปริมาณ หรือการไม่ใส่ส่วนผสมไปเลยได้ค่ะ อันนี้พูดในแง่ประสิทธิภาพนะคะ ไม่ได้พูดถึงในเนื้อครีม

จะอย่างไรก็ตามแต่สิ่งที่คุณจะรู้ได้จริงๆคือ จำนวนเงินปริมาณมากที่เสียไปนั่นเอง การที่จะคิดว่าเสียเงินจำนวนมาก เพื่อให้ได้ส่วนผสมหรือประสิทธิภาพที่มากกว่าครีมราคาถูกเป็นความคิดที่ผิดค่ะ

Chompoo_X-ray ^_^

la Mer กับสาหร่ายอวกาศ ที่ไม่ต่างกับสาหร่ายขอบสระว่ายน้ำบ้านดิฉัน

ประวัติ la Mer

สิ่งที่ดิฉันจะพูดดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น หากบทความนี้บาทพิงผู้ใด หรือวงการใด หรือทำให้ใครไม่สบายใจ ดิฉันขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ดิฉันไม่มีเจตนาในส่วนนี้




ดิฉันจะเริ่มเล่าประวิติของแบรนด์นี้ก่อนนะคะ จุดเริ่มต้นของลาแมร์เริ่มจาก ดอกเตอร์ แม็กซ์ ฮูเบอร์ (Dr. Max Huber) ค่ะ อย่างที่ใครๆก็ทราบดี ดอกเตอร์คนนี้แกเป็นนักวิทยาสาสตร์ของ National Aeronautics and Space Administration (NASA) หรือองค์การนาซ่า อยู่มาวันนึงแกทำการวิจัยทดลองเกี่ยวเชื้อเพลิงจรวด จู่ๆเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ซึ่งใหญ่มากพอที่ทำให้ร่างกายซีกซ้ายของแกโดนสะเก็ดระเบิด และรอยจากเพลิงไหม้อย่างจัง และไม่นานร่องรอยของความเสียหายนี้ก็กลายมาเป็นรอยไฟไหม้ที่ใหญ่โต (ไม่อยากนึกภาพค่ะ คงสยองน่าดู)


Dr. Max Huber


ด้วยความโชคร้ายของดอกเตอร์ ก็กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องแย่ๆในวงการเครื่องสำอาง ที่ครีมมหาแพงได้กำเนิดขึ้น ดิฉันไม่อาจทราบได้ว่าดอกเตอร์ไปคิดบ้าบอไร้สาระที่สมองส่วนไหน มีแรงบันดาลใจบ้าๆ ที่ตรงไหนยังไง หรืออะไรไปดลจิตดลใจแก เลยคิดสูตรน้ำสาหร่ายหมักออกมา ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างอลังการว่า“Miracle broth” แน่นอนค่ะ น้ำสาหร่ายหมักบ้าๆบอๆนี่ เรียกเงินในกระเป๋าของคนรวยๆ ได้อย่ามหาศาลเชียวค่ะ

เอาล่ะค่ะ เรื่องสนุกยังไม่จบค่ะ หลังจากที่ดอกเตอร์ประมวลความคิดจากสมองส่วนหนึ่งออก แกก็เริ่มทำการหาส่วนผสมซึ่งหลักๆก็คือสาหร่ายทะเลมาทำการหมัก แล้วก็ไม่ได้หมักน้อยๆ พอมีพอใช้นะคะ แต่หมักแล้วได้น้ำหมักมากกว่า 300 กิโลกรัมเลยทีเดียวล่ะคะ จากคำบอกเล่าของลูกสาวดอกเตอร์นะคะ



พอได้น้ำหมักเสร็จสรรพ ดอกเตอร์นำมาใช้กับรอยไฟไหม้ของแกค่ะ แน่นอนค่ะดอกเตอร์บอกว่าประสิทธิภาพดีมาก และยิ่งไปกว่านั้นรอยไฟไหม้หายไปค่ะ แล้วไม่นานหลังจากนั้นดอกเตอร์ก็เสียชีวิตลง

เรื่องสนุกมากขึ้นกำลังตามมาค่ะ หลังจากที่ดอกเตอร์เสียชีวิตลงไป ก็ทิ้งสมบัติอันมีค่าซึ่งก็คือน้ำสาหร่ายหมักกว่า 300 กิโลให้ลูกสาว มาร์เลย์ ฮูเบอร์ (Marley Huber) และลูกพี่ลูกน้อง บ็อบ ฮูเบอร์ (Bob Huber) 

มาร์เลย์ ฮูเบอร์จัดการสืบต่อความคิดบ้าๆนี้ด้วยการนำน้ำสาหร่ายหมักออกมาขายประทังชีวิต เนื่องจากกิติศัพท์ดอกเตอร์จากนาซ่า พูดอะไร ประกาศอะไรคงดังไปหลายกิโลเมตร มีเหรอคะที่จะพ้นสายตาของเจ๊ลอเดอร์ ดังนั้นบริษัทเอสเต้ ลอเดอร์จึงติดต่อเพื่อจะขอซื้อลิขสิทธ์และทำภายใต้การควบคุมของบริษัท หรือการเทค โอเวอร์นั่นแหละค่ะ

เนื่องจากแม็กซ์ ฮูเบอร์ตายไปแล้ว สูตรการหมักน้ำสาหร่ายบ้าบอจึงไม่มีใครรู้อย่างลึกซึ้งนอกจากคนตาย ทางลอเดอร์ได้เค้นเอาความจริงจากปากของลูกสาวและลุงของเธอ แต่ทั้งสองคนก็ตอบได้แค่ว่า มันเป็นเพียงการบอกเล่าของแม็กซ์ ฮูเบอร์ ถึงกรรมวิธีการทำน้ำสาหร่ายหมักเท่านั้น เธอและลุงจึงไม่รู้จริงๆว่าหมักกันยังไง เท่าที่มีก็เหลือแต่น้ำหมักสาหร่ายเพียง 300 กิโลแค่นี่ ลอเดอร์ก็เอาไปขายก่อนละกัน เธอตอบอย่างนี้ค่ะ


"จริต" ของ la Mer



ไม่ต้องบอกก็รู้นะคะ หากใครที่ติดตามแบรนด์นี้มาจะรู้โดยทั่วกันว่า ครีมต้นตำรับความบ้าบอต่างๆ ก็เริ่มมาจากกระปุกบ้าๆนี้ค่ะ ซึ่งก็คือ Crème de la Mer ค่ะ ดังนั้นครีมข้นกระปุกนี้ จึงแสดงจริตของแบรนด์นี้ได้เป็นอย่างดี

Crème de la Mer
Ingredients : Seaweed (Algae) Extract, Mineral Oil (Paraffinum Liquidum), Petrolatum, Glycerin, Isohexadecane, Citrus Aurantifolia (Lime) Extract, Microcrystalline Wax, Lanolin Alcohol, Sesamum Indicum (Sesame) Seed OilEucalyptus Globulus (Eucalyptus) Leaf Oil, Magnesium Sulfate, Sesamum Indicum (Sesame) Seed, Medicago Sativa (Alfalfa) Seed Powder, Helianthus Annuus (Sunflower) Seedcake, Prunus Amygdalus Dulcis (Sweet Almond) Seed Meal, Sodium Gluconate, Potassium Gluconate, Copper Gluconate, Calcium Gluconate, Magnesium Gluconate, Zinc Gluconate, Paraffin,Tocopheryl Succinate, Niacin, Beta-Carotene, Decyl Oleate, Aluminum Distearate, Octyldodecanol, Citric Acid, Cyanocobalamin, Magnesium Stearate, PanthenolLimonene, Geraniol, Linalool, Hydroxycitronellal, Citronellol, Benzyl Salicylate, Citral, Methylchloroisothiazolinone, Methylisothiazolinone, Alcohol Denat., Fragrance

ดิฉันคงไม่ต้องพูดอะไรไปมากใช่ไหมคะ กับความธรรมดาสุดๆของครีมกระปุกนี้ Crème de la Mer มีส่วนผสมที่เป็นสาหร่ายทะเลหมัก น้ำมันมิเนอรัล ปิโตรเลทั่ม กลีเซอรีน ตัวทำให้ข้น/ลื่น น้ำมันพืช/เมล็ดพืช แร่ธาตุ วิตามินตัวทำให้ข้น/ลื่น น้ำหอม และสารกันเสีย

คุณจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเคลมอลังการเสียขนาดไหน เมื่อมาดูรายการส่วนผสมก็หนีไม่พ้นสารเคมีธรรมดาๆมารวมกันนั่นเองค่ะ ซึ่งสารเหล่านี้หาได้จากแบรนด์ที่ราคาถูกมากกว่านี้เยอะค่ะ คุณอาจจะได้ประโยชน์จาก antioxidant ที่ให้มาบ้าง แต่หลักๆคือ เคลือบผิวให้ความชุ่มชื้นเท่านั้นเองค่ะ ซึ่งพบได้ในครีมกระปุกอื่นๆที่ราคาถูกกว่าเยอะ ดิฉันพูดครั้งที่สองแล้วนะคะ

ลาแมร์เป็นอีกแบรนด์หนึ่ง ที่ดิฉันรู้สึกได้ถึงความบ้าบิ่นกับราคาอย่างเหลือหลาย ไม่มีเหตุผลอะไรเลยค่ะ ที่จะต้องเสียเงินซื้อ

Chompoo_X-ray ^_^

Lancôme กับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ไร้สาระ ชั่วนาตาปี

 ประวัติ Lancôme

สิ่งที่ดิฉันพูดไปนี้เป็นความจริงทั้งหมด หากความจริงที่พูดไปนี้ทำให้ใคร หรือกลุ่มคนใดไม่สบายใจ หรือไม่พอใจ ดิฉันขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย



แน่นอนจากหัวเรื่องค่ะ ดิฉันมองในแง่รายการส่วนผสมที่ลังโคมนำเสนอมาในเครื่องประทินผิวของตัวเองทั้งหมด ทว่า ไม่มีผลิตภัณฑ์ตัวไหนของลังโคมที่มีรายการส่วนผสมที่เป็นประโยชน์เกินห้ารายการ อาจมากไปนะคะ เอาแค่สามรายการก็คงจะพอเพียงกับลังโคมแล้วค่ะ

ตามสเต็ปของดิฉันที่จะต้องพูดถึงประวิติการก่อตั้งแบรนด์มาก่อนเสมอๆ แต่นี่ดิฉันไม่รู้จะนำเสนออะไรค่ะ เพราะประวัตินั้นมีแต่น้ำ ที่มาจรรโลงบทความที่จะทำให้ยาวยืดไปเสียอรรถรสเปล่าๆ ดังนั้นจึงขอพูดนิดเดียวนะคะ

แบรนด์ลังโคม ก่อตั้งโดยนาย Armand Petitjean อ่านเป็นภาษาฝรั่งเศสได้ประมาณว่า “อาร์มองด์ เปอติฌอง” ไม่ว่าจะสมัญญานามที่ให้กับคนๆนี้ ไม่ว่าจะผู้เชี่ยวชาญการผลิตน้ำหอมและเครื่องสำอาง หรืออะไรก็ตามแต่ ดิฉันไม่เห็นด้วยในเรื่องของการเชี่ยวชาญด้านเครื่องสำอางค่ะ


นาย Armand Petitjean

การนำเสนอผลิตภัณฑ์ไร้สาระ ชั่วนาตาปี

ไม่ฉลาดเลยหากคุณจะเชื่อคนที่ทำน้ำหอม แล้วนำน้ำหอมกลับมาใส่ในเครื่องสำอาง ความระคายเคืองที่โผล่แทรกมาระหว่างการจรุงจิต มโนภาพความหรูอลังการจากความหอม ดูจะไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ และไม่แปลกค่ะ ไม่ว่าจะน้ำหอมหรือเครื่องสำอาง การตลาดภาพลักษณ์ก็ไปในทิศทางเดียวกันได้ และได้อย่างดีเสียด้วย ดิฉันจึงไม่แปลกใจที่อาร์มองด์จะขยับขยายมาเอาดีด้านขายเครื่องสำอาง ก็คนมีเงินอยากจะทำอะไรก็ได้ไปหมดแหละค่ะ



อย่างที่ดิฉันเคยบอกไปหลายๆรอบ เนื้อผลิตภัณฑ์ต่อให้ห่วยแย่ขนาดไหน หากทำการตลาดได้ดี สื่อสารเยอะๆหน่อย ก็ขายได้ดังระเบิดไม่ยาก และนี่ก็เป็นสิ่งที่ลังโคมพยายามทำมาอย่างเสมอต้นเสมอปลายดีค่ะ



ไม่ว่าอาร์มองด์จะรังสรรค์ความหอมให้น่าตื่นตา ตระการใจมากเพียงใด หรือไม่ว่าจะเป็นศิษย์เอกของบิดาแห่งเครื่องหอมชั้นสูงของศตวรรษที่ 20 หรือไม่ กลิ่นหอมก็เป็นแค่เพียงรสนิยมส่วนบุคคลค่ะ ไม่ได้ทำมาแล้วทุกคนบนโลกจะหลงใหลไปกับกลิ่นหอมได้หมด ที่สำคัญมันก็ไม่เกี่ยวกับประสิทธิภาพครีม เมื่ออยู่บนใบหน้าคุณสักนิด



หากซีรั่มก็เป็นแค่ขวดหรูที่เพียงแต่ห่อหุ้มอะไรก็ไม่รู้ขวดหนึ่ง หรือหากกระปุกครีบสุดฮิพเป็นเพียงวัสดุที่เป็นแก้ว หนักๆ แต่บรรจุอะไรไม่ชอบมาพากล มันจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่งว่า “เมื่อครีมอยู่บนใบหน้าคุณ มันเป็นอย่างไร” แน่นอนค่ะ หากครีมก็เป็นเพียงแค่ครีม ซีรั่มก็เป็นเพียงแค่ซีรั่ม ลังโคมก็ไม่ต่างอะไรกับมิสทีนสักนิด

การตลาดที่เอาจริง มุ่งเจาะยอดขายเอารายได้ เน้นภาพลักษณ์ที่ดูหรูหรา เน้นการประชาสัมพันธ์ที่มากไปกว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นี่คือสิ่งที่ลังโคมทำค่ะ

ลังโคมมีดีเพียง cleanser สครับ และ sunscreen สามอย่างนี้เท่านั้น sunscreen ดิฉันไม่มีอะไรพูดมาก เพราะบริษัทต้นสังกัดลอรีอัล ทำกันแดดได้ออกมาค่อนข้างดีกับทุกๆแบรนด์ในเครืออยู่แล้ว นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่จะน่าชื่นชมลังโคมแต่อย่างใด แต่การที่ทั้ง cleanser และสครับดีเนี่ย แสดงศักยภาพที่สั้นจู๋ของลังโคมให้ทราบได้ว่า “ทำออกมาได้แค่นี้แล้ว” ก็สารทำความสะอาดจะคัดสรรลงไปในหลอด cleanser มันยากตรงไหนล่ะคะ? อ๋อ หากเทียบกับความพยายามในการกดครีมซีรั่มของลังโคมเอง อันนี้ยากกว่าจริงๆค่ะ



ส่วนเรื่องที่แย่เหรอคะ ก็มาตั้งแต่ราคาที่ขายแพงยังกะเรี่ยไรเงินไปสร้างพระราชวัง การไม่มีผลิตภัณฑ์ AHA หรือ BHA การไม่มีผลิตภัณฑ์ที่จำกัดสิว จุดด่างดำได้อย่างจริงจัง โทนเนอร์ที่มักใส่แอลกอฮล์ไปเสียทุกตัว การเคลมส่วนผสมที่เวอร์ไปจนเกินความจริง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวส่วนใหญ่มักเป็นแบบกระปุก

การตลาดที่ยิ่งใหญ่ นำพาลังโคมสู่การเป็นแบรนด์ที่ทียอดขายสูงที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก ดิฉันไม่แปลกใจเลยว่าจะให้อีกกี่ร้อยปีข้างหน้าลังโคมก็ยังจะเป็นอยู่อย่างนี้ แต่นี่คือเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับผู้บริโภคค่ะ

"จริต" ของ Lancôme



Lancôme Genifique Youth Activator คือผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุด ได้รับรางวัลมากมาย แต่ดิฉันขอขีดเส้นใต้เอาไว้ว่า “รางวัลที่มากจากการตลาด” ดังนั้น Genifique Youth Activator จึงแสดงจริตของแบรนด์นี้ได้เป็นอย่างดี มาดูส่วนผสมกันค่ะ

Lancôme Genifique Youth Activator
Ingredients : Aqua/Water/Eau, Dimethicone, Bifida Ferment Lysate, Propylene Glycol, Glycerin, Isohexadecane, Dimethicone/Vinyl Dimethicone Crosspolymer, Alcohol Denat., Ammonium Polyacryoldimethyltauramide/Ammonium Polyacryloyldimethyl Taurate, CI 77891(Titanium Dioxide), Mica, Sodium Hydroxide, Phenoxyethanol, Adenosine, Nylon-12, Chlorphenesin, Polysorbate 80, Salicyloyl Phytosphingosine, Dimethyl Isosorbide, Limonene, Xanthan Gum, Linalool, Capryloyl Salicylic Acid, Carbomer, Disodium EDTA, Octyldodecanol, Methylparaben, Ceteth-10, Citronellol, Laureth-4, Parfum And Fragrance

จากส่วนผสม มีเพียงน้ำซิลิโคน ผสมกับน้ำหมักแบคทีเรียแกรมบวกที่ไม่รู้จะไปหาประโยชน์ได้จากงานวิจัยไหนเท่านั้นค่ะ นอกนั้นเป็นเพียงตัวทำให้ข้น/ลื่น สี ตัวกระจายแสง และตัวปรับ pH แล้วก็สารกันเสีย นี่แหละค่ะกับผลิตภัณฑ์ที่ลังโคมยกมาเสนอในระดับแถวหน้า ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเป็นครีมที่คิดว่าดีที่สุดในแบรนด์แล้ว แต่ขอโทษนะคะ สำหรับดิฉัน “ห่วย” มากค่ะ (ขีดเส้นใต้คำว่า ห่วย ค่ะ)

Chompoo_X-ray XD

The body shop กับความย่ำแย่ในอดีต และความธรรมดา บ้านๆในปัจจุบัน

ประวัติ The body shop

ก่อนอื่นใดทั้งหมด ดิฉันออกตัวก่อนว่าสิ่งที่ดิฉันพูดไปนี้เป็นความจริงทั้งหมด หากความจริงที่พูดไปนี้ทำให้ใครไม่สบายใจ หรือไม่พอใจ ดิฉันขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ดิฉันบอกก่อนแล้วนะคะ



ก่อนจะมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดนั้น ดิฉันจะขอเริ่มจากประวัติเล็กๆน้อยๆของบอดี้ช็อปกันก่อนนะคะ

The body shop ก่อตั้งโดย Dame Anita Roddick โดยเริ่มจากการก่อตั้งร้านขายเล็กๆที่ Brighton ในลอนดอน ปี 1976 แรกๆเธอก่อตั้งธุรกิจนี้อย่างเรียบง่ายเพื่อหาเงินเลี้ยงลูกๆทั้งสองของเธอเพียงลำพัง เนื่องจากสามีของเธอแยกตัวออกไปทำงานแถวๆอเมริกาใต้ และภายหลังต่อมาสามีก็ได้กลับมาช่วยเธอในการขยายธุรกิจให้กว้างไกลมากขึ้น


Dame Anita Roddick


ร้านบอดี้ช็อปเล็กๆในสมัยนั้น มีของขายเพียง 15 ชนิดเท่านั้น และหลังจากนั้นอีกครึ่งปี เธอได้ขยายสาขาที่สองของร้าน จนกระทั่งปี 1991 บอดี้ช็อปมีถึง 700 สาขา Dame Anita Roddick จึงนับได้ว่าเป็นสตรีคนหนึ่งของอังกฤษที่มีรายได้มากที่สุด

วันที่ 17 มีนาคม 2006 ลอรีอัลได้มาเทคธุรกิจต่อจากเธอ โดยทุ่มเงินจำนวน 652 ล้านปอนด์

ด้านสุขภาพของเธอค่อนข้างย่ำแย่ ธุรกิจพันล้านขนาดนี้หนีไม่พ้นโรคเครียดสะสมค่ะ หนีไม่พ้นสัจจะธรรมกันจริงๆค่ะ แม้กระทั่งคนมีเงินนะคะ เธอป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบชนิดซี (Hepatitis C.) และท้ายที่สุดในชีวิต วันที่ 10 กันยายน 2007 เธอได้เสียชีวิตลงด้วยโรคเลือดออกในสมอง หลังจากที่เธอป่วยทุพลภาพด้วยอาการปวดศีรษะมาเป็นเวลานาน



ความย่ำแย่ในอดีต

มาถึงความจริงกันแล้วค่ะ ประมาณสิบกว่าปีก่อน ก่อนที่ลอรีอัลบริษัทยักษ์ใหญ่จะมาเทคธุรกิจเธอไปเสียอีก บริษัทเธอมีชื่อเสียงที่เสื่อมมาก ก็หลายๆเรื่องที่น่าเบื่อของวงการเครื่องสำอางนี่แหละค่ะ ดิฉันก็ยังเอือมๆ มาตั้งแต่การไม่ใส่ส่วนผสมที่เคลมไปจริงๆในผลิตภัณฑ์ การที่ใส่ส่วนผสมที่อ้างว่าเป็นธรรมชาติไปเพียงปริมาณซากใบชา ไหนจะเรื่องการนำเอาสัตว์มาทำการทดลอง แล้วเขียนชวนเชื่อว่าทดลองจากคน คือจริงๆแล้วประมาณว่า เอาผลที่ทดลองกับสัตว์มาใช้กับคนนั่นเองค่ะ คราวนั้นงานเข้า Dame Anita Roddick มาก ไหนจะสื่ออังกฤษที่นับว่ามีความอิสระในการทำงานมากอยู่แล้วก็ลงข่าวแฉกันให้ควั่ก



ไม่น่าแปลกใจนะคะ ผลปรากฏว่าคนอังกฤษและที่รู้ข่าวตกใจกันน่าดู (แต่หากเป็นดิฉันคงเฉยๆมากกว่า) เพราะคนภายนอกนั้นไม่รู้อะไรสักแอ๊ะเดียวเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในวงการเครื่องสำอางกันเลย สรุปคือคนทั่วไปช็อกค่ะ ว่าทำไมบอดี้ช็อปถึงได้ตอแหลผู้บริโภคได้ขนาดนี้ หลายๆอย่างนี้ทำให้หุ้นของบอดี้ช้อปลงดิ่ง

บอดี้ช็อปกลับทำเรื่องที่น่าอัปยศเข้าไปอีกด้วยการใช้เงินยัดปากสื่อ ผลคือเรื่องนี้เงียบไปได้เพียงชั่วคราว เพราะนักข่าวคนอื่นๆในอังกฤษและใกล้เคียงเดือดดาลกันมาก พยายามจะแฉให้ได้อีกครั้ง ผลปรากฏว่าสำเร็จอีกครั้งค่ะ Dame Anita Roddick เลยคงความดันขึ้นไปอีกเยอะ ไหนจะเป็นไวรัสตับอักเสบอีก

บอดี้ช็อปถูกคนประณาม สาปกันทั่วหัวระแหง ด้วยความผิดฐานตอแหลคนซื้อ และไหนจะคุกคามสื่ออีก ธุรกิจเลยซบเซากันพักใหญ่

บอดี้ช็อปใช้เวลาให้ผ่านไปวันต่อวันเรื่อยๆ จนคนเขาลืมเรื่องราวไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้บอดี้ช็อปก็จับตัวเองลงตะกร้าล้างตัวเองให้สะอาด พร้อมกับดำเนินนโยบายใหม่ที่เหมือนประชดตัวเองในอดีต โดยทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ไล่มาตั้งแต่การที่ออกแบบเสื้อให้พนักงานเขียนคำใหญ่เบ้อเริ่มว่า “ไม่ทรมานสัตว์” หรือแม้แต่ “ไม่ใช้สัตว์ในการทดลอง” หรือแม้แต่การบรรยายในแผ่นพับถึงความสยดสยองเมื่อทดลองกับสัตว์



ต่อมาบอดี้ช็อปมาสู่กระแสแนวการกุศล และศีลธรรม เช่น การเขียนหลักปรัชญาที่น่าประทับใจเกี่ยวกับสังคมและมนุษยชน หรือแม้แต่การอวดอ้างว่า มีการอุดหนุนผลิตภัณฑ์จากชุมชนในแอฟริกา มีการอวดอ้างอย่างเต็มที่ตามแผ่นพับ การเอารูปคนผิวดำผอมกะหร่องมาลงเพื่อความน่าเชื่อถือที่มากขึ้น และนำมาใช้ในส่วนผสมที่ขายจริงในเครื่องสำอาง ข้อในใครจะเชื่อก็เชื่อไป เพระความจริงไม่มีทางที่บอดี้ช็อปจะใช้จริงๆหรอกค่ะ สร้างภาพกันทั้งนั้น ดิฉันถามตัวเองว่า เพราะอะไรทำไมบอดี้ช็อปถึงต้องถ่อสังขารไปกว้านซื้อส่วนผสมธรรมชาติจากต่างทวีปด้วย เม็ดเงินที่เสียไปในการจัดส่ง เม็ดเงินที่ต้องเสียมากขึ้นเมื่อเทียบกับซื้อส่วนผสมโดยตรงจากโรงงานขายส่วนผสม หลายๆอย่างเหล่านี้ทำให้ทราบว่าบอดี้ช็อปคงจะไม่เจียดเงินไปซื้อในสิ่งที่แพงกว่าหรอก สิ่งที่ทำเพื่อศีลธรรมมันกินไม่ได้ในโลกธุรกิจค่ะ



ผลิตภัณฑ์เกือบทั้งหมดของบอดี้ช็อปธรรมดามากๆ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ “ความธรรมดา บ้านๆในปัจจุบัน” ข้อนี้ดิฉันไม่แปลกใจค่ะ ก่อนลอรีอัลมาเทคธุรกิจคุณภาพของผลิตภัณฑ์ก็บ้านๆอยู่แล้ว ไปจนถึงแย่ แล้วพอมาเปลี่ยนเจ้าของเป็นลอรีอัลก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตามสเตปของบริษัทนี้อีกเช่นกัน ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ (หรือเรียกได้ว่าทั้งหมด) สารที่ดีๆสำคัญๆ หรือที่เคลมขายอยู่หลังรายการสารกันเสีย หรือท้ายๆรายการทั้งนั้น นั่นหมายความว่ามีน้อยมากๆค่ะ



"จริต" ของ The body shop

ดิฉันจะพาคุณมาดู “จริต” ของบอดี้ช็อปจากส่วนผสมไลน์ใหม่ล่าสุด “Natrulift” ลำดับจากซ้ายไปขวานะคะ



1. Natrulift Softening Cream Cleanser
Ingredients : Water (Solvent/Diluent), Isododecane (Solvent), Glycerin (Humectant), Bertholletia Excelsa Seed Oil (Emollient), Glycine Soja (Soybean) Oil (Emollient/Skin Conditioner), Sucrose Cocoate (Emollient), Betaine (Hair Conditioning Agent), Caprylyl Glycol (Skin Conditioning Agent), Phenoxyethanol (Preservative), Hydroxyethyl Acrylate/Sodium Acryloyldimethyl Taurate Copolymer (Emulsion Stabiliser), Acrylates/C10-30 Alkyl Acrylate Crosspolymer (Stabiliser/Viscosity Modifier), Fragrance (Fragrance), Squalane (Hair & Skin Conditioning Agent), Bisabolol (Skin Soothing Agent), Creatine (Skin-Conditioning Agent), Punica Granatum (Pomegranate) Seed Oil (Skin Conditioning Agent - Emollient), Butylene Glycol (Humectant), p-Anisic Acid (pH Modifier), Sodium Hydroxide (pH Adjuster), Carbomer (Stabiliser/Viscosity Modifier), Punica Granatum (Pomegranate) Extract (Natural Additive), Polysorbate 60 (Surfactant), Disodium EDTA (Chelating Agent), Pyrus Malus (Apple) Fruit Extract (Natural Additive), Hydroxycitronellal (Fragrance Ingredient), Pentylene Glycol (Solvent), Secale Cereale (Rye) Seed Extract (Natural Extract), Ursolic Acid (Fragrance Ingredient)

2. Natrulift Softening Facial Wash
Ingredients : Water (Solvent/Diluent), Sodium Cocoyl Isethionate (Surfactant), Cetearyl Alcohol (Emulsifier), Glycerin (Humectant), Sorbitol (Humectant), Sodium Methyl Cocoyl Taurate (Surfactant), Stearic Acid (Emulsifier), Cocamidopropyl Betaine (Surfactant), Acrylates Copolymer (Stabiliser), Coconut Acid (Surfactant), Bertholletia Excelsa Seed Oil (Emollient), Caprylyl Glycol (Skin Conditioning Agent), Sodium Chloride (Viscosity Modifier), Disodium Lauryl Sulfosuccinate (Surfactant), Sodium Isethionate (Surfactant), Zea Mays (Corn) Starch (Absorbent/Chelating Agent), Fragrance (Fragrance), Bisabolol (Skin Soothing Agent), Creatine (Skin-Conditioning Agent), Butylene Glycol (Humectant), Hydrogenated Castor Oil (Emollient), Sodium Hydroxide (pH Adjuster), p-Anisic Acid (pH Modifier), Punica Granatum (Pomegranate) Extract (Natural Additive), Punica Granatum (Pomegranate) Seed Oil (Skin Conditioning Agent ? Emollient), Disodium EDTA (Chelating Agent), Hydroxycitronellal (Fragrance Ingredient), Citronellol (Fragrance Ingredient), Pyrus Malus (Apple) Fruit Extract (Natural Additive), Limonene (Fragrance Ingredient), Geraniol (Fragrance Ingredient), Ursolic Acid (Fragrance Ingredient), Titanium Dioxide (Colour)

3. Natrulift Softening Toner
Ingredients : Water (Solvent/Diluent), Alcohol Denat. (Solvent/Diluent), Glycerin (Humectant), Pentylene Glycol (Solvent), Butylene Glycol (Humectant), PPG-26-Buteth-26 (Emulsifier), Caprylyl Glycol (Skin Conditioning Agent), PEG-40 Hydrogenated Castor Oil (Emulsifier), Creatine (Skin-Conditioning Agent), Sodium Citrate (pH Adjuster), Fragrance (Fragrance), Bertholletia Excelsa Seed Oil (Emollient), Bisabolol (Skin Soothing Agent), Citric Acid (pH Adjuster), Punica Granatum (Pomegranate) Extract (Natural Additive), PPG-2 Hydroxyethyl Cocamide (Surfactant - Emulsifying Agent), Aloe Barbadensis Leaf Juice (Skin Conditioning Agent), Disodium EDTA (Chelating Agent), Pyrus Malus (Apple) Fruit Extract (Natural Additive), Hydroxycitronellal (Fragrance Ingredient), Citronellol (Fragrance Ingredient), Limonene (Fragrance Ingredient), Geraniol (Fragrance Ingredient), Linalool (Fragrance Ingredient), Alpha-Isomethyl Ionone (Fragrance Ingredient), Ursolic Acid (Fragrance Ingredient)

4. Natrulift Firming Day Cream
Ingredients : Water (Solvent/Diluent), Hydrogenated Polyisobutene (Emollient), Glycerin (Humectant), Cyclohexasiloxane (Conditioning Agent), Propylene Glycol (Humectant), Aluminum Starch Octenylsuccinate (Absorbent/Anticaking Agent), Cetyl Alcohol (Emulsifier), Stearyl Alcohol (Emollient), Dimethicone (Skin Conditioning Agent), Butyrospermum Parkii (Shea Butter) (Skin-Conditioning Agent/Emollient), Butylene Glycol (Humectant), PEG-40 Stearate (Emulsifier),Bertholletia Excelsa Seed Oil (Emollient), Creatine (Skin-Conditioning Agent), Polymethylsilsesquioxane/Benzimidazole Diamond Copolymer (Opacifying Agent), Hydrogenated Soybean Oil (Emollient), Phenoxyethanol (Preservative), Caffeine (Skin Conditioning Agent), Hydrogenated Olive Oil (Skin Conditioning Agent), Caprylyl Glycol (Skin Conditioning Agent), Pentylene Glycol (Solvent), Sorbitan Tristearate (Emulsifier), Squalane (Hair & Skin Conditioning Agent), Polyacrylamide (Film Former), Fragrance (Fragrance), Punica Granatum (Pomegranate) Seed Oil (Skin Conditioning Agent - Emollient), Secale Cereale (Rye) Seed Extract (Natural Extract), Hydrogenated Jojoba Oil (Skin-Conditioning Agent), C13-14 Isoparaffin (Solvent), Punica Granatum (Pomegranate) Extract (Natural Additive), Pyrus Malus (Apple) Fruit Extract (Natural Additive), Vitis Vinifera (Grape) Fruit Water (Skin Conditioning Agent), Wheat Germ Oil/Palm Oil Aminopropanediol Esters (Natural Extract), Glycine Soja (Soybean) Oil (Emollient/Skin Conditioner), Zinc PCA (Skin-Conditioning Agent), Laureth-7 (Emulsifier), Adenosine (Skin-Conditioning Agent), Sodium PCA (Humectant), Hydroxycitronellal (Fragrance Ingredient), Citronellol (Fragrance Ingredient), Limonene (Fragrance Ingredient), Geraniol (Fragrance Ingredient), Tocopheryl Acetate (Antioxidant), Linalool (Fragrance Ingredient), Glycine Soja (Soybean) Sterol (Skin-Conditioning Agent - Emollient), Alpha-Isomethyl Ionone (Fragrance Ingredient), Ursolic Acid (Fragrance Ingredient), Eugenol (Fragrance Ingredient), Citric Acid (pH Adjuster)

5. Natrulift Firming Night Cream
Ingredients : Water (Solvent/Diluent), Dimethicone (Skin Conditioning Agent), Prunus Armeniaca (Apricot) Kernel Oil (Emollient), Glycerin (Humectant), Oryza Sativa (Rice) Bran Oil (Emollient), Stearic Acid (Emulsifier), Propanediol (Viscosity Modifier), Zea Mays (Corn) Starch (Absorbent/Chelating Agent), Butyrospermum Parkii (Shea Butter) (Skin-Conditioning Agent/Emollient), Butylene Glycol (Humectant), Glyceryl Stearate (Emulsifier), PEG-100 Stearate (Surfactant), PEG-20 Stearate (Emulsifier), Stearyl Alcohol (Emollient), Beeswax (Emulsifier/Emollient), Bertholletia Excelsa Seed Oil (Emollient)Creatine (Skin-Conditioning Agent), Acrylamide/Sodium Acryloyldimethyltaurate Copolymer (Skin-Conditioning Agent - Emollient), Caffeine (Skin Conditioning Agent), Caprylyl Glycol (Skin Conditioning Agent), Tocopheryl Acetate (Antioxidant), Isohexadecane (Emollient/Solvent), Pentylene Glycol (Solvent), Squalane (Hair & Skin Conditioning Agent), Phenoxyethanol (Preservative), Fragrance (Fragrance), Punica Granatum (Pomegranate) Seed Oil (Skin Conditioning Agent - Emollient), Dimethiconol (Skin/Hair Conditioning Agent), Secale Cereale (Rye) Seed Extract (Natural Extract), Sorbic Acid (Preservative), Polysorbate 80 (Surfactant), Vigna Aconitifolia Seed Extract (Skin Conditioning Agent), Punica Granatum (Pomegranate) Extract (Natural Additive), Pyrus Malus (Apple) Fruit Extract (Natural Additive), Wheat Germ Oil/Palm Oil Aminopropanediol Esters (Natural Extract), Sodium Cocoyl Glutamate (Surfactant), Disodium EDTA (Chelating Agent), Sorbitan Oleate (Emulsifier), Adenosine (Skin-Conditioning Agent), Hydroxycitronellal (Fragrance Ingredient), Citronellol (Fragrance Ingredient), Hydrolyzed Soy Protein (Skin/Hair Conditioning Agent), Limonene (Fragrance Ingredient), Cinnamic Acid (Skin Conditioning Agent), Geraniol (Fragrance Ingredient), Linalool (Fragrance Ingredient), Alpha-Isomethyl Ionone (Fragrance Ingredient), Ursolic Acid (Fragrance Ingredient), Eugenol (Fragrance Ingredient), Citric Acid (pH Adjuster)

6. Natrulift Firming Serum
Ingredients : Water, Glycerin, Cyclopentasiloxane, Cyclohexasiloxane, Creatine, PEG-40 Hydrogenated Castor Oil, Butylene Glycol, Propylene Glycol, Phenoxyethanol, Caffeine, Dimethicone, Honey, Panthenol, Tocopheryl Acetate, Pentylene Glycol, Caesalpinia Spinosa Gum, Acrylates/C10-30 Alkyl Acrylate Crosspolymer, Punica Granatum (Pomegranate) Seed Oil, Secale Cereale (Rye) Seed Extract, Oryza Sativa (Rice) Bran Oil, Triticum Vulgare (Wheat) Germ Oil, Xanthan Gum, Methylparaben, Fragrance, Punica Granatum (Pomegranate) Extract, Sodium Hydroxide, Wheat Germ Oil/Palm Oil Aminopropanediol Esters, Avena Strigosa Seed Extract, Lecithin, Pyrus Malus (Apple) Fruit Extract, Disodium EDTA, Butylparaben, Ethylparaben, Adenosine, Isobutylparaben, Propylparaben, Hydroxycitronellal, Citronellol, Limonene, Potassium Sorbate, Geraniol, Linalool, Alpha-Isomethyl Ionone, Ursolic Acid

สรุปโดยทั้งหมดคือ ส่วนผสมส่วนใหญ่ (สีเหลือง) นั่นคือธรรมดาไปมากค่ะ ส่วนส่วนผสมที่น่าสนใจ (สีเขียว) ก็มีบ้างประปราย แต่ก็นับว่าเป็นส่วนผสมที่ช่วยผิวได้ไม่มากนัก และรายการส่วนผสมที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับผิว (สีดำ) นั่นคือมีปริมาณน้อยมากค่ะ อยู่หลังสารกันเสียและน้ำหอม

Chompoo_X-ray ;D