
ดิฉันชื่นชมคุณ Paula Begoun อย่างมหาศาลนับตั้งแต่ประมาณสิบปีก่อน เมื่อเธอเขียนหนังสือ Don’t go to the cosmetics counter without me เล่มแรก จนกระทั่งเมื่อปีราวๆต้นปี 2010 นี้
เธอเป็นแสงสว่างแห่งการฉายเงาที่ดำมืดในวงการเครื่องสำอางสู่สายตาของดิฉัน ดิฉันจึงปลื้มเธอมากเป็นพิเศษ และไม่เคยปลื้มใครเท่านี้มาก่อน เธอเป็นต้นแบบของดิฉันเสมอมา และในทุกๆบทความที่ดิฉันเขียนโดยนามปากกานี้ ดิฉันมักจะใส่ความรู้สึกของเธอลงไปด้วยเกือบทุกครั้ง
ความรู้สึกของเธอที่ดิฉันใส่ไปในการเขียน หรือแม้แต่บทความของเธอเองนั้น อาจจะดูแรงเกินไปในสายตาคนอื่นหลายๆคน การที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความหวาดกลัวต่อวงการเครื่องสำอาง มันอาจดูแย่ในสายตาของคนที่รักเครื่องสำอางเป็นชีวิตจิตใจ และท้ายที่สุดคนอ่านจะไม่ได้อะไรเลยจากบทความที่สะท้อนความจริงที่เขียนออกมา
คนอ่านก็จะยังใช้เครื่องสำอางที่ตนชอบต่อไปเรื่อยๆ ราวกับไม่มีอะไรในกอไผ่เกิดขึ้น บทความสะท้อนความจริงที่อ่าน จะเป็นเพียงสายลมเอื่อยๆ ที่กระทบเข้าไปในสมอง แล้วก็เลือนหายไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเช่นนั้นนะคะ ไม่ใช่ดิฉันไม่รู้
คุณอาจคิดว่าการหันมามองด้านที่ดีของวงการต่างหาก เป็นสิ่งที่ต้องทำมากกว่าสิ่งอื่นใด การใช้ครีมกระปุกสุดหรูมันคือทุกนาทีที่ใช้ที่มีแต่ความสุข และหากจะมานั่งมัวแต่จับผิดอะไรต่อมิอะไรในวงการในด้านลบ ก็จะทำให้การรักเครื่องสำอาง หรือดูแลผิวลดน้อยลงไปเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่ควรจะทำมากกว่า
การใช้เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่มีความสุขไม่ใช่หรือ? ดังนั้นหากมองข้ามจุดแย่ๆในวงการไปบ้าง หรือแม้แต่ทำไม่รู้ไม่เห็นไปบ้าง ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะความสุขในการดูแลผิวจากเครื่องสำอางคือสิ่งที่จะต้องให้ความสนใจมากที่สุด มิใช่หรอกหรือ?
การขจัดข้อโต้แย้งดังกล่าว ดิฉันมีมุมมองว่าอย่างนี้ค่ะ หากดิฉันทำในสิ่งข้างต้นที่กล่าวมา ดิฉันคงไม่เสียเวลามากับการเป็นนั่งเป็นสื่ออย่างนี้หรอกค่ะ เสียเวลาซะเปล่าๆ เพราะเป็นอะไรที่คนอื่นเค้าก็ทำกันเยอะแล้ว
ดิฉันอยากทำในสิ่งที่แตกต่าง เพราะหากไม่แตกต่างคงไม่ออกมาจากตัวดิฉัน และคงไม่อยากทำในเมื่อใครๆเค้าก็ทำกันซะทั่ว ดิฉันอยากให้การปรากฎต่อสื่อของดิฉันมีคุณค่าสำหรับคนที่เห็นความจริง และสวนต่อกระแสที่เป็นการเท็จ ดิฉันทำโดยไม่หวังสิ่งใด นี่จึงทำให้ดิฉันไม่ต้องคอยห่วงหน้า พะวงหลัง และหากให้ดิฉันทำในสิ่งข้างต้น ดิฉันเลือกไม่ขอทำดีกว่าค่ะ
ดิฉันกับ Paula Begoun เคยมีเป้าหมายร่วมกัน ก็คือ “การขจัดสิ่งที่แย่ๆในวงการเครื่องสำอางออกไป ให้หมดไปจากวงการ” และจุดเริ่มต้นของการเริ่มปฏิบัติการภารกิจนี้คือ การบอกกล่าวความจริงให้คนทั่วไปได้รับรู้ และเห็นพ้องในเรื่องดังกล่าว
ดิฉันมาคิดๆดู ในฐานะสื่อ เราสามารถทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ ไม่สามารถทำไปเกินกว่านี้ได้ เพราะขนาดทำเท่านี้ ก็ยังจะมีการครหาเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากสื่อหลายๆสื่อมีความน่าเชื่อถือต่างกัน ผู้เสพสื่อก็เลือกที่จะกรองเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะรับรู้
ดังนั้นเพียงเท่านี้ แค่การสื่อสารให้คนทั่วไปรับรู้ ยังต้องมีข้อจำกัดค่ะ ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วยไปซะหมด และวกมาที่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง “การขจัดสิ่งที่แย่ๆในวงการเครื่องสำอางออกไป ให้หมดไปจากวงการ” ยิ่งดูเลือนลางมากๆในความเป็นจริง ซึ่งตอนนี้ดิฉันเชื่อแล้วล่ะค่ะ ว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
สิ่งสำคัญ การเลือกมองแต่ด้านดี ปิดการมองด้านแย่ๆ ก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปทำกัน ด้านแย่ๆ เพียงแต่รับเข้ามา แล้วก็หายไป สิ้นเดือนก็ไปซื้อกระปุกครีมใหม่ที่กลวงเหมือนเดิม
ประการสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง อยู่ที่สื่อที่สื่อสารไปยังคนรับข่าว การเปิดเผยตัวตนที่ทำให้สาธารณะรับทราบว่าเป็นใคร ทำอะไร เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะอย่าลืมว่าตัวสื่อเองก็เป็นปุถุชนเช่นเดียวกัน มีความรัก หลงอยากได้เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ เหมือนกับคนทั่วๆไป ดังนั้นสื่อเหล่านี้จะต้องคำนึงถึงการตลาดของตัวเองค่ะ ไม่ช้าก็เร็ว
หากการจะให้คนยอมรับ โดยการผันตัวเองมาเป็นกูรูตั้งแต่ต้น เพื่อสร้างฐานนิยมให้กับตัวเอง แล้วนำฐานะนี้มาสร้างธุรกิจรายได้ให้กับตัวเอง เป็นสิ่งที่ไม่ผิดค่ะ ใครๆเขาก็ทำกัน แต่เรื่องเหล่านี้ผู้ติดตามอาจไม่มีใครรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ ดิฉันเพียงแต่สงสารผู้ติดตามเหล่านี้ค่ะ ที่ยังไม่ทราบถึงสภาวะการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคล แล้วก็หลงเชื่อสิ่งที่เรียกว่าเป็นข้อเท็จจริง ที่ทางสื่อนี้มอบให้ ความจริงในการนำเสนอมันได้เปลี่ยนไปแล้วค่ะ
Paula Begoun เธอทำแบบนี้ค่ะ แต่อาจจะบางส่วนนะคะ เธอเปิดแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา แล้วก็ขายภายใต้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาของเธอเองจากการเป็นกูรู แน่นอนค่ะ มีคนเชื่อถือเธอเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นยอดขายจึงพุ่งกระฉูด สร้างรายได้ให้กับเธอมหาศาล ก็ให้เธอนั่งแต่แฉความจริงอยู่อย่างเดียว ไส้ก็แห้งตายสิคะ
หลังๆมา เธอเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก การจะขึ้นบทความใดบทความหนึ่ง เธอมักจะเกริ่นจุดขายของแบรนด์ตัวเองขึ้นก่อน เพื่อให้ผู้อ่านทราบถึงความจริงเป็นที่จะต้องใช้ครีมของเธอจริงๆ
นี่เป็นหลักจิตวิทยาที่ดีมากค่ะ ผู้อ่านที่เคยจงรักภักดีในความจริงที่เธอเคยเอามาเล่าแต่ก่อน ไม่มีการกรองข้อมูลอะไรเลย คอยแต่จะเชื่ออย่างเดียว อะไรที่เธอพูดมา ก็เชื่อเหมือนกับแต่ก่อนไม่ผิดเพี้ยนความตั้งใจ ทั้งๆที่จุดยืนเธอ ได้เปลี่ยนไปแล้ว เธอล้ำเข้ามายังเชิงพาณิชย์มากขึ้นไปทุกที
ที่แย่ไปมากกว่านี้ เธอได้ใช้ช่องโหว่ของการแจ้งรายการส่วนผสม มาใช้กับแบรนด์ของเธอค่ะ แต่เรื่องนี้ดิฉันจะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ เหล่านี้ความน่าเชื่อถือของเธอจึงลดลงไปมากทุกที
แต่สำหรับดิฉัน Chompoo_X-ray ดิฉันวางสถานะในการเป็นสื่อที่ใช้นามปากกาในการเขียนบทความ ซึ่งไม่ได้เปิดเผยกับใคร ดังนั้นสภาวะสังคมภายนอกไม่สามารถมากระทบต่อตัวดิฉันได้ และหากดิฉันจะทำธุรกิจอะไร สวนทางจากที่พูดมาขนาดไหน ก็ไม่มีใครมาว่า เพราะดิฉันไม่ได้เปิดเผยตัวตั้งแต่ต้น
ความจริงที่ดิฉันเลือกมานำเสนอ ถึงแม้จะเสี่ยงมากต่อการถูกคุกคาม ก็ไม่อาจมาทำร้ายดิฉันได้ ดิฉันจึงไม่ต้องมาแคร์กับเรื่องนี้ ความจริงของดิฉันที่เปิดเผย ไม่มีอะไรมากระทบกับความจริงเหล่านี้ จึงทำให้ความจริงที่นำเสนอไม่ผิดเพี้ยน หรือละในบางเรื่องที่เป็นความจริง
ดิฉันไม่รับงานอีเว้นต์ใดๆ ในการบ่งบอกว่าสนับสนุนแบรนด์ทางการตลาด ดิฉันไม่มีรายได้ใดๆจากการทำสื่อในฐานนะนี้ ดิฉันไม่ได้หากินจากการออกงานใดๆเพื่อประทังชีวิต ดิฉันจึงไม่ต้องเกรงใจแบรนด์ไหนๆ ในการนำเสนอความจริง
Chompoo_X-ray XD