วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

la Mer กับสาหร่ายอวกาศ ที่ไม่ต่างกับสาหร่ายขอบสระว่ายน้ำบ้านดิฉัน

ประวัติ la Mer

สิ่งที่ดิฉันจะพูดดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น หากบทความนี้บาทพิงผู้ใด หรือวงการใด หรือทำให้ใครไม่สบายใจ ดิฉันขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ดิฉันไม่มีเจตนาในส่วนนี้




ดิฉันจะเริ่มเล่าประวิติของแบรนด์นี้ก่อนนะคะ จุดเริ่มต้นของลาแมร์เริ่มจาก ดอกเตอร์ แม็กซ์ ฮูเบอร์ (Dr. Max Huber) ค่ะ อย่างที่ใครๆก็ทราบดี ดอกเตอร์คนนี้แกเป็นนักวิทยาสาสตร์ของ National Aeronautics and Space Administration (NASA) หรือองค์การนาซ่า อยู่มาวันนึงแกทำการวิจัยทดลองเกี่ยวเชื้อเพลิงจรวด จู่ๆเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ซึ่งใหญ่มากพอที่ทำให้ร่างกายซีกซ้ายของแกโดนสะเก็ดระเบิด และรอยจากเพลิงไหม้อย่างจัง และไม่นานร่องรอยของความเสียหายนี้ก็กลายมาเป็นรอยไฟไหม้ที่ใหญ่โต (ไม่อยากนึกภาพค่ะ คงสยองน่าดู)


Dr. Max Huber


ด้วยความโชคร้ายของดอกเตอร์ ก็กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องแย่ๆในวงการเครื่องสำอาง ที่ครีมมหาแพงได้กำเนิดขึ้น ดิฉันไม่อาจทราบได้ว่าดอกเตอร์ไปคิดบ้าบอไร้สาระที่สมองส่วนไหน มีแรงบันดาลใจบ้าๆ ที่ตรงไหนยังไง หรืออะไรไปดลจิตดลใจแก เลยคิดสูตรน้ำสาหร่ายหมักออกมา ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างอลังการว่า“Miracle broth” แน่นอนค่ะ น้ำสาหร่ายหมักบ้าๆบอๆนี่ เรียกเงินในกระเป๋าของคนรวยๆ ได้อย่ามหาศาลเชียวค่ะ

เอาล่ะค่ะ เรื่องสนุกยังไม่จบค่ะ หลังจากที่ดอกเตอร์ประมวลความคิดจากสมองส่วนหนึ่งออก แกก็เริ่มทำการหาส่วนผสมซึ่งหลักๆก็คือสาหร่ายทะเลมาทำการหมัก แล้วก็ไม่ได้หมักน้อยๆ พอมีพอใช้นะคะ แต่หมักแล้วได้น้ำหมักมากกว่า 300 กิโลกรัมเลยทีเดียวล่ะคะ จากคำบอกเล่าของลูกสาวดอกเตอร์นะคะ



พอได้น้ำหมักเสร็จสรรพ ดอกเตอร์นำมาใช้กับรอยไฟไหม้ของแกค่ะ แน่นอนค่ะดอกเตอร์บอกว่าประสิทธิภาพดีมาก และยิ่งไปกว่านั้นรอยไฟไหม้หายไปค่ะ แล้วไม่นานหลังจากนั้นดอกเตอร์ก็เสียชีวิตลง

เรื่องสนุกมากขึ้นกำลังตามมาค่ะ หลังจากที่ดอกเตอร์เสียชีวิตลงไป ก็ทิ้งสมบัติอันมีค่าซึ่งก็คือน้ำสาหร่ายหมักกว่า 300 กิโลให้ลูกสาว มาร์เลย์ ฮูเบอร์ (Marley Huber) และลูกพี่ลูกน้อง บ็อบ ฮูเบอร์ (Bob Huber) 

มาร์เลย์ ฮูเบอร์จัดการสืบต่อความคิดบ้าๆนี้ด้วยการนำน้ำสาหร่ายหมักออกมาขายประทังชีวิต เนื่องจากกิติศัพท์ดอกเตอร์จากนาซ่า พูดอะไร ประกาศอะไรคงดังไปหลายกิโลเมตร มีเหรอคะที่จะพ้นสายตาของเจ๊ลอเดอร์ ดังนั้นบริษัทเอสเต้ ลอเดอร์จึงติดต่อเพื่อจะขอซื้อลิขสิทธ์และทำภายใต้การควบคุมของบริษัท หรือการเทค โอเวอร์นั่นแหละค่ะ

เนื่องจากแม็กซ์ ฮูเบอร์ตายไปแล้ว สูตรการหมักน้ำสาหร่ายบ้าบอจึงไม่มีใครรู้อย่างลึกซึ้งนอกจากคนตาย ทางลอเดอร์ได้เค้นเอาความจริงจากปากของลูกสาวและลุงของเธอ แต่ทั้งสองคนก็ตอบได้แค่ว่า มันเป็นเพียงการบอกเล่าของแม็กซ์ ฮูเบอร์ ถึงกรรมวิธีการทำน้ำสาหร่ายหมักเท่านั้น เธอและลุงจึงไม่รู้จริงๆว่าหมักกันยังไง เท่าที่มีก็เหลือแต่น้ำหมักสาหร่ายเพียง 300 กิโลแค่นี่ ลอเดอร์ก็เอาไปขายก่อนละกัน เธอตอบอย่างนี้ค่ะ


"จริต" ของ la Mer



ไม่ต้องบอกก็รู้นะคะ หากใครที่ติดตามแบรนด์นี้มาจะรู้โดยทั่วกันว่า ครีมต้นตำรับความบ้าบอต่างๆ ก็เริ่มมาจากกระปุกบ้าๆนี้ค่ะ ซึ่งก็คือ Crème de la Mer ค่ะ ดังนั้นครีมข้นกระปุกนี้ จึงแสดงจริตของแบรนด์นี้ได้เป็นอย่างดี

Crème de la Mer
Ingredients : Seaweed (Algae) Extract, Mineral Oil (Paraffinum Liquidum), Petrolatum, Glycerin, Isohexadecane, Citrus Aurantifolia (Lime) Extract, Microcrystalline Wax, Lanolin Alcohol, Sesamum Indicum (Sesame) Seed OilEucalyptus Globulus (Eucalyptus) Leaf Oil, Magnesium Sulfate, Sesamum Indicum (Sesame) Seed, Medicago Sativa (Alfalfa) Seed Powder, Helianthus Annuus (Sunflower) Seedcake, Prunus Amygdalus Dulcis (Sweet Almond) Seed Meal, Sodium Gluconate, Potassium Gluconate, Copper Gluconate, Calcium Gluconate, Magnesium Gluconate, Zinc Gluconate, Paraffin,Tocopheryl Succinate, Niacin, Beta-Carotene, Decyl Oleate, Aluminum Distearate, Octyldodecanol, Citric Acid, Cyanocobalamin, Magnesium Stearate, PanthenolLimonene, Geraniol, Linalool, Hydroxycitronellal, Citronellol, Benzyl Salicylate, Citral, Methylchloroisothiazolinone, Methylisothiazolinone, Alcohol Denat., Fragrance

ดิฉันคงไม่ต้องพูดอะไรไปมากใช่ไหมคะ กับความธรรมดาสุดๆของครีมกระปุกนี้ Crème de la Mer มีส่วนผสมที่เป็นสาหร่ายทะเลหมัก น้ำมันมิเนอรัล ปิโตรเลทั่ม กลีเซอรีน ตัวทำให้ข้น/ลื่น น้ำมันพืช/เมล็ดพืช แร่ธาตุ วิตามินตัวทำให้ข้น/ลื่น น้ำหอม และสารกันเสีย

คุณจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเคลมอลังการเสียขนาดไหน เมื่อมาดูรายการส่วนผสมก็หนีไม่พ้นสารเคมีธรรมดาๆมารวมกันนั่นเองค่ะ ซึ่งสารเหล่านี้หาได้จากแบรนด์ที่ราคาถูกมากกว่านี้เยอะค่ะ คุณอาจจะได้ประโยชน์จาก antioxidant ที่ให้มาบ้าง แต่หลักๆคือ เคลือบผิวให้ความชุ่มชื้นเท่านั้นเองค่ะ ซึ่งพบได้ในครีมกระปุกอื่นๆที่ราคาถูกกว่าเยอะ ดิฉันพูดครั้งที่สองแล้วนะคะ

ลาแมร์เป็นอีกแบรนด์หนึ่ง ที่ดิฉันรู้สึกได้ถึงความบ้าบิ่นกับราคาอย่างเหลือหลาย ไม่มีเหตุผลอะไรเลยค่ะ ที่จะต้องเสียเงินซื้อ

Chompoo_X-ray ^_^

2 ความคิดเห็น:

  1. ดีจังเลยค่ะที่มีบล็อกแบบนี้ อ่านแล้วได้ความรู้ขึ้นเยอะเลย ว่าไม่ควรติดกับแบรนด์จนเกินไป ส่วนตัวเราใช้ผลิตภัณฑ์ของ Burts Bees เราเน้นแต่พวกธรรมชาติ แบรนด์อื่นมีราคาสูงมาก เราซึ่งเป็นนักศึกษาไม่มีรายได้เลยต้องใช้เท่าที่เราซื้อไหวค่ะ ..อยากให้เจ้าของบล็อกเขียนบมความเกี่ยวกับแบรนด์นี้หรือที่น่าสนใจหน่อยค่ะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  2. ทำขายสิ จะได้ซื้อได้ราคาถูกๆ
    แต่เท่าที่ลองใช้ ดีกว่าลังโคมจริงๆ ใช้ครั้งแรกเห็นผลเลย

    ตอบลบ