บทความต่อไปนี้ ดิฉันเขียนขึ้นด้วยข้อมูลบนพื้นฐานของความจริง ทั้งนี้คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อค่ะ แต่ดิฉันจะให้ลองไปพิสูจน์จากการหาข้อมูลภายนอกดูค่ะ ว่าจะตรงกับของดิฉันหรือไม่ ทั้งนี้หากสิ่งที่ดิฉันเขียนมาดังกล่าวกระทบใคร กลุ่มใด หรือทำให้ใคร กลุ่มใดไม่สบายใจ ดิฉันขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

นับว่าเป็นบทความแรกที่ดิฉันจะไม่เขียนวิจารณ์มากเท่าไหร่ เพราะดิฉันประทับใจในความมุ่งมั่นจากการสร้างธุรกิจอันยิ่งใหญ่จากสิ่งเริ่มต้นที่เป็นศูนย์
หากจะเทียบกันในเหล่าผู้จัดการบริษัทมือฉมังของธุรกิจครอบครัวแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นลูก หลาน เหลน หรืออะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวข้องกับเอสเต้ ลอเดอร์ ทั้ง Leonard Lauder (ลูกชายคนโต), Ronald Lauder (ลูกชายคนเล็ก), Jane Lauder (หลานสาว) , Aerin Lauder (หลานชาย), Evelyn H Lauder (ภรรยาของ Leonard) เป็นต้น พวกเขาเหล่านี้ต่อให้เก่ง โปรขนาดไหน ดิฉันก็ยังไม่ประทับใจเท่ากับเอสเต้ ลอเดอร์ถึงเพียงนี้

ก็ถ้าคุณโตมาท่ามกลางกองเงินกองทอง มีธุรกิจใหญ่ยักษ์อยู่กับตัวแล้วล่ะก็ จะพยายามสัก 1 ใน 100 ก็สำเร็จได้กันทั้งนั้นแหละค่ะ เพราะการเติบโตของธุรกิจในปัจจุบันความสามารถเป็นปัจจัยรอง แต่เงินต่างหากล่ะคะ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จจริงๆ
ดังนั้นเหล่าลูกหลานของลอเดอร์เหล่านี้ ดิฉันไม่ประทับใจสักคนค่ะ แต่ดิฉันประทับใจในคนที่เริ่มก่อตั้งบริษัทที่เป็นที่ทำกินให้กับลูกหลานเหล่านี้ต่างหาก นั่นก็คือตัวของลอเดอร์เองค่ะ เพราะเธอเป็นคนที่เริ่มก่อตั้งธุรกิจจากสิ่งที่ไม่มีอะไรมาก่อนจริงๆ นั่นคือเธอต้องใช้ความสามารถหลายๆด้านมากๆ ที่ไม่ใช่ดีแต่การใช้เงินเพียงอย่างเดียว
ประวัติศาสตร์ความมุมานะที่น่ายกย่อง
ลอเดอร์ เธอเกิดมาในครอบครัวที่พ่อกับแม่อพยพมาจากฮังการี พ่อละแม่ของเธอชื่อ Max และ Rose Schotz Mentzer แถมยังมีลูกอีกตั้ง 9 คน และเธอเป็นน้องคนสุดท้อง ครอบครัวเธอเป็นคริสต์นิกายคาธอลิก ดิฉันเข้าใจว่า เพราะครอบครัวของเธออพยพมาในช่วงที่เธอเกิด ดังนั้นเธอเกิดจริงๆเมื่อปี 1906 แต่ทางครอบครัวแจ้งช้าไปราวๆ 2 ปี เธอจึงมีประวัติข้อมูลในฐานระเบียนว่าเกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1908

ลอเดอร์ มีชื่อดั้งเดิมคือ Josephine Esther Mentzer ตามชื่อฮังการี ในสมัยเด็กๆ พี่น้อง และคนในหมู่บ้านจะเรียกชื่อเล่นของเธอว่าเอสตี้ (Esty) เมื่อเธอเริ่มเข้ามาเรียนหนังสือทางระเบียนโรงเรียนได้สะกดชื่อของเธอผิด โดยสะกดผิดว่าเอสเต้ (Estee) นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ เอสเต้ ลอเดอร์ค่ะ
สมัยเด็กลอเดอร์มีจุดเด่นที่ผิวสวยมากกว่าใคร และด้วยรูปหน้าที่สะสวย เธอจึงเลื่องลือมากในเรื่องนี้สมัยเด็กๆ อุปนิสัยรักสวยรักงามเป็นสิ่งที่เธอมีมากกับตัวตั้งแต่ยังเด็ก นิสัยนี้เธอได้มาจากคุณแม่ ที่ชอบบำรุงและดูแลผิว เป็นคนประณีตละเอียดอ่อน และยังได้อุปนิสัยทางการตลาดมาจากคุณพ่อของเธอ เนื่องจากคุณพ่อของเธอทำธุรกิจขายเมล็ดพืชในสมัยที่อยู่ฮังการี และมาทำธุรกิจทางด้านฮาร์ดแวร์ เมื่ออพยพมาอยู่ที่นิวยอร์ก ที่นี่ เธอและครอบครัวอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นต์เล็กๆที่ควีนส์ นิวยอร์ก
เมื่อลอเดอร์อายุได้ประมาณ 20 ปี จุดเริ่มต้นแห่งธุรกิจความงามได้เริ่มฉายแววมากขึ้น ลุงของเธอชื่อ ดอกเตอร์ Schotz (ข้อมูลบางแห่งบอกว่า เป็นน้าชื่อ John) คนนี้แกเป็นนักวิทยาศาสตร์เคมี และเป็นเจ้าของโรงงาน New Way Laboratories ที่ก่อตั้งในปี 1924 เธอตกลงมาช่วยลุงของเธอในการผลิตเครื่องสำอาง และช่วยขาย

เธอเริ่มทำเครื่องสำอางแบบผสมกับมือ และนำน้ำมันจากพืชมาสกัดเองโดยใช้เตาแก๊ส หลังจากที่พยายามมานาน เธอก็ได้สูตรครีมของเธอเพื่ออกขาย เธอเริ่มจากการนำไปขายในตลาดด้วยตัวเอง แม้กระทั่งโฆษณาขายครีมที่ร้านตัดผมระหว่างที่ลูกค้าอบไอน้ำ เครื่องสำอางของเธอเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น จากประสิทธิภาพที่ดีกว่าใครๆ ชื่อเสียงเธอจึงเลื่องลือขึ้นมา
ปี 1930 เมื่อเธออายุ 22 ปี เธอตัดสินใจแต่งงานกับ Joseph (Joe) Lauder และเธอก็ได้เปลี่ยนนามสกุลตามสามี ในปี 1933 เธอได้ให้กำเนิดลูกชายคนแรกชื่อว่า Leonard Allen Lauder ต่อมาเธอและสามีหย่าร้างกัน 9 ปีต่อมาหรือเมื่อปี 1939 เธอเล่าว่า เพราะการแต่งงานในอายุที่เด็กเกินไป แต่หลังจากนั้น และกลับมาแต่งงานกันใหม่ 3 ปีต่อมาเมื่อปี 1942 หลังจากนั้นอีก 2 ปีต่อมา เธอได้ให้กำเนิดลูกชายคนที่สอง Ronald Lauder

เธอและสามีตัดสินใจสร้างธุรกิจความงามอย่างจริงจัง ตามความชอบของเธอ โรงงานลอเดอร์จึงได้ตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1946 จากการแปลงสภาพร้านอาหารเก่าๆ โดยลอเดอร์ทำหน้าที่ในการคิดสูตร ผลิตเครื่องสำอาง และดุแลทางด้านการตลาด ส่วนสามีเธอดูแลเรื่องการเงิน เธอยังให้ลูกของเธอ Leonard มาศึกษาธุรกิจตั้งแต่ยังเล็กๆ Leonard จึงคุ้ยเคยธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย
ปีต่อมา Saks 5th Avenue ร้านบูติกชั้นนำ ร้านซาลอนที่โด่งดัง และ Florence Morris ได้ให้สิทธ์ในการนำผลิตภัณฑ์ของโรงงานลอเดอร์มาวางขายครั้งแรก งานโฆษณาชิ้นแรกได้รับการว่าจ้างโดยนักถ่ายภาพชื่อดัง Victor Skrebneski โดยเป็นการถ่ายโฆษณาเกี่ยวกับเมคอัพของแบรนด์ เพียงสองวันเท่านั้นที่ Saks 5th Avenue สินค้าได้ถูกขายจนหมดเกลี้ยง สร้างความดีใจให้กับลอเดอร์และสามีมาก
บริษัทของลอเดอร์ ภายใต้ชื่อ Estee Lauder Companies Inc.ประสบความสำเร็จมาก และในปี 1960 ลอเดอร์ได้ขยายสาขาไปนอกอเมริกาเป็นสาขาแรก โดยอยู่ที่ Harrod ในลอนดอน และปี 1964 ลอเดอร์ก็ได้ขยายสาขาไปกว้างไกลมากขึ้นทั่วโลก

ความยิ่งใหญ่และน่ากลัวของลอเดอร์ยังไม่จบเท่านี้ สิ่งที่ทำให้ลอเดอร์ดูน่ากลัวกว่าแบรนด์คู่แข่งดังๆเป็นไหนๆ คือการที่ลอเดอร์เป็นเจ้าของแบรนด์คู่แข่งดังๆเหล่านั้นเอง แบรนด์ดังๆเหล่านี้ ได้แก่ Clinique, Origins, la mer, Prescriptive, Lab series, M.A.C, Bobbi brown, Aramis และแบรนด์ดังอื่นๆอีกมากมาย ทีดิฉันยังคิดไม่ออก

ประสบการณ์ความมุ่งมั่นทุ่มเทของเจ๊ลอเดอร์ เป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันประทับใจเป็นอย่างมาก ความลำบากของครอบครัวเธอเป็นสิ่งผลักดันให้ความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ในเครือลอเดอร์เกิดมาจนทุกวันนี้ จากการเร่ขายครีมแบบ door to door ทำให้เธอเก่งเรื่องการตลาด และความชอบของผู้บริโภค จากการมีลุงที่เป็นนักเคมีทำให้เธอเก่งในการใช้ส่วนผสม จากการทำงานกับลุงของเธอทำให้เธอเห็นภาพรวมในกระบวนการผลิตครีมจริงๆที่มากไปกว่ารายการส่วนผสมที่แปะมาข้างกล่อง จากการมีสามีที่คอยช่วยเหลือ และจากการมีลูกชายที่เก่งกาจเพราะคลุกคลีกับธุรกิจตั้งแต่เด็ก เหล่านี้หล่อหลอมรวมกันที่เชื่อได้ว่า ถ้าไม่ใช่เธอ ก็ไม่อาจมีใครมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ลอเดอร์ยิ่งใหญ่ในวงการเครื่องสำอางโลก
เอสเต้ ลอเดอร์ เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2004 ในบ้านส่วนตัวของเธอที่แมนฮัตตัน เธอเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ด้วยอายุถึง 97 ปี

มาวันนี้ Estee Lauder Companies Inc. ยังถูกบริหารด้วยเหล่าลูกหลานของเธอ และนับวันจะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เพราะการโฆษณาที่เย้ายวนใจมากขึ้น ที่ดิฉันเกริ่นไว้ก่อนว่า “การเข้ามามีส่วนแต่งเติมความแย่ในวงการเครื่องสำอาง” นั้นก็ไม่ผิดหรอกค่ะ ไม่ว่าแบรนด์ไหนๆก็ทำ เพียงแต่แบรนด์ในเครือนี้ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นการสร้างกระแสอะไรขึ้นมาจึงสั่นสะเทือนไปทั้งวงการ การโฆษณาที่เกินจริง และการที่ประสิทธิภาพครีมมีไม่มากดังโฆษณาล้วนแล้วแต่เป็นความแย่ในวงการเครื่องสำอางทั้งนั้น

ว่าจะไม่เขียนจริต แต่ก็นึกออกจนได้ค่ะ ลอเดอร์มีตัวที่ฮิตมากๆตัวหนึ่ง ที่ไม่มีริวิวไม่ได้ และแสดงถึงจริตของแบรนด์ได้อย่างดีทีเดียว เพราะตัวนี้เป็นตัวโปรโมท Estée Lauder Advanced Night Repair Synchronized Recovery Complex ตัวนี้แหละค่ะ คือจริงๆแล้วเนี่ย หากเป็นตัวบำรุงจากลอเดอร์นี้จะส่วนผสมค่อนข้างดี ถึงดีมากเลยนะคะ แต่ตัวนี้ดิฉันกลับเสียใจจริงๆ ด้วยความที่เป็นตัวโปรโมท ลอเดอร์น่าจะประโคมส่วนผสมดีๆให้กับตัวนี้มากๆหน่อย เหมือนกับตัวบำรุงตัวอื่นๆบ้าง

Estée Lauder Advanced Night Repair Synchronized Recovery Complex
Ingredients : Water, Bifida Ferment Lysate, Methylgluceth-20, Peg-75, Butylene Glycol, Bis-Peg-18 Methyl Ether Dimethyl Silane, Arabidopsis Thaliana Extract, Tripeptide-32, Ethylhexyl Methoxycinnamate, Lactobacillus Ferment, Cola Acuminata Extract, Retinyl Palmitate, Pantethine, Caffeine, Glycereth-26, Sodium RNA, Squalane, Oleth-3 Phosphate, Oleth-3, Oleth-5, Bisabolol, Choleth-24, Ceteth-24, Hydrogenated Lecithin, Anthemis Nobilis, Sodium Hyaluronate, Tocopheryl Acetate, Lecithin, Xanthan Gum, Tea-Carbomer, Trisodium Edta, BHT, Phenoxyethanol, Methylparaben, Benzyl Alcohol, Green 5, Yellow 5, Red 4
รายการส่วนผสมนับว่าอลังการ (ยาวๆ) น้อยกว่าบำรุงตัวอื่นมาก แต่ก็ยังนับว่ามีสารบำรุงที่ช่วยผิวได้อยู่หลายตัวเชียวค่ะ แต่หากนำราคามาประเมินด้วย คงแย่ เพราะราคาแพงเอาการเหมือนกัน ไปซื้อส่วนผสมดีๆ ในราคาที่ถูกกว่านี้ได้เยอะค่ะ
Chompoo_X-ray :D
ขอบคุณ ค่ะที่ นำ เรื่องราว ที่มี คุณค่า มาเผยแพร่
ตอบลบชอบค่ะแต่ ราคาค่อนข้างแพงไป นิด